วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้"งูสวัด" เกิดจากอะไร

 

สาระน่ารู้"งูสวัด"เกิดจากอะไร

กรณีความเชื่อเกี่ยวกับโรคงูสวัด ที่ระบุว่าหากงูสวัดขึ้นวนรอบตัวจะทำให้เสียชีวิตนั้น ทางสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคสุกใส และอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสเริม ผู้ป่วยที่เป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อหายจากโรค เชื้อไวรัสจะเข้าไปซ่อนในปมประสาท และจะถูกกระตุ้นเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ซึ่งไวรัสจะมีการแบ่งตัวทำให้การปล่อยเชื้อไวรัสออกมาตามแนวเส้นประสาท 

อาการของโรคงูสวัด

ผู้ป่วยโรคงูสวัด จะมีอาการแสดงเบื้องต้นคือปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังซึ่งถูกควบคุมโดยแนวเส้นประสาทนั้น ต่อมาจะมีผื่นแดงตามด้วยตุ่มน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท โดยที่ตุ่มน้ำสามารถกลายเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นแผล หรือเป็นสะเก็ดตามมาได้ หลังจากอาการทางผิวหนังหายแล้ว อาจมีอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยบางราย รวมถึงอาจมีแผลเป็นตามหลังได้ ซึ่งการเกิดการกระตุ้นของไวรัส varicella ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดนั้น มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด โดยอาการที่พบมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไปที่สุขภาพแข็งแรง

"งูสวัด" ขึ้นวนรอบตัว?

ทั้งนี้โรคงูสวัดจะเกิดตามแนวยาวของเส้นประสาทเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเกิดในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำมากๆ อาจจะมีอาการกำเริบและเกิดการลุกลามได้มากกว่าปกติ หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ แต่โดยสรุปแล้วโรคงูสวัดไม่ถือเป็นโรคที่ร้ายแรง 

วิธีรักษาโรคงูสวัด

การรักษาโรคงูสวัดนั้น มีทั้งการรักษาตามอาการ และการรักษาร่วมกับการใช้ยาต้านไวรัส รวมถึงให้ยาแก้ปวดปลายเส้นประสาทร่วมด้วย หากสงสัยว่าเป็นโรคงูสวัดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาในช่วงแรกของโรคจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

โรคงูสวัดจะเกิดตามแนวยาวของเส้นประสาทเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น และโรคงูสวัดไม่ถือเป็นโรคที่ร้ายแรง ยกเว้นโรคดังกล่าวเกิดในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำมากๆ อาจจะมีอาการกำเริบและเกิดการลุกลามได้มากกว่าปกติ หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ชนิดของยาฝังคุมกำเนิด

 

สาระน่ารู้ชนิดของยาฝังคุมกำเนิด

ยาฝังคุมกำเนิด เป็นวิธีการควบคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง มี 2 ชนิด ได้แก่  

  • ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 1 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
  • ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 2 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี 

โดยจะฝังใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน และถอดออกเมื่อครบกำหนด

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

  • สะดวก มีประสิทธิภาพสูง และคุมกำเนิดได้นาน
  • ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ไม่ต้องกังวล เรื่องการตั้งครรภ์ หรือปัญหาลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด
  • ใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของน้ำนม เมื่อหยุดการใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะสามารถกลับสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้เร็ว 

อาการข้างเคียงจากการฝังยาคุมกำเนิด

การฝังยาคุมกำเนิดอาจมีอาการข้างเคียง ได้แก่ 

  • ปวดศีรษะ 
  • คลื่นไส้ 
  • ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย 
  • เป็นสิว 
  • อารมณ์แปรปรวนได้บ้าง 

ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 6 เดือน 

หากผู้รับบริการยาฝังคุมกำเนิดมีเลือดออกผิดปกติ ปวดศีรษะมาก มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดประจำเดือน หรือประจำเดือนมากะปริดกะปรอย สามารถขอรับคำปรึกษาและการรักษาได้จากผู้ให้บริการ สำหรับวัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมและยังหาทางออกกับปัญหาไม่ได้ สามารถโทรไปปรึกษาดูแลช่วยเหลือตามสภาพปัญหาที่สายด่วน 1663 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ได้ทุกวัน เพื่อรับบริการปรึกษาทางเลือกและส่งต่อดูแล รวมทั้งการให้บริการแนะแนวทางการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้อันตรายจากการกิน ปูดิบ

สาระน่ารู้อันตรายจากการกิน ปูดิบ

การกินปูดิบ หรือปูที่กึ่งสุกกึ่งดิบ ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน หรือใช้ความร้อนในระยะเวลาสั้น เสี่ยงต่อการเป็นพยาธิใบไม้ในปอด เพราะเวลากินปูดิบๆ เข้าไปก็มีโอกาสกินไข่ หรือตัวอ่อนของพยาธิเข้าไปด้วย ซึ่งน้ำย่อยในกระเพาะไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ ถึงแม้พยาธิจะไม่สามารถแพร่พันธุ์ในตัวคนเราได้ แต่สามารถชอนไชเข้าไปในปอด ฟักตัว และมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ส่งผลให้มีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด และในบางรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ จึงต้องระมัดระวังในการบริโภคอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย หากต้องการปรุงอาหารที่มีปูเป็นส่วนประกอบหลัก ควรนำปูมาลวกให้สุกด้วยความร้อน ก่อนนำมากิน

กินปูอย่างไรให้ปลอดภัย ลดเสี่ยงโรค

  • การปรุงประกอบอาหารเองไม่ว่าจะเป็นเมนูใด ควรปฏิบัติดังวิธีต่อไปนี้ เพื่อลดเสี่ยงอันตราย
  • ก่อนนำวัตถุดิบมาปรุง ต้องล้างน้ำให้สะอาด เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรค พยาธิ สารเคมีตกค้าง
  • ต้องปรุงให้สุก โดยใช้ความร้อนให้อาหารสุกอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ต้องสุกถึงข้างใน 
  • ควรแยกอาหารที่ปรุงสุก และที่ยังไม่สุกออกจากกัน 
  • ยึดหลักกินร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว ล้างมือ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคที่มีอาหารและน้ำเป็นสื่อ เช่น  โรคอาหารเป็นพิษ  โรคอุจจาระร่วง เป็นต้น 

หากเลือกซื้ออาหารจากร้านค้า ร้านอาหาร ควรสังเกตป้ายสัญลักษณ์ “อาหารสะอาด รสชาติอร่อย” หรือ Clean Food Good Taste ที่กรมอนามัยรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความสะอาดปลอดภัยของอาหารและร้านค้าให้กับผู้บริโภค

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้หรือไม่

สาระน่ารู้ หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้หรือไม่

สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย ระบุว่า จากการรายงานผลหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พบว่า มีอาการผิดปกติทางระบบประสาทชั่วคราว เช่น อาการชา หรือ อาการอ่อนแรง อาการดังกล่าว เกิดจากการตอบสนองของร่างกาย จากการฉีดวัคซีน ซึ่งเกิดได้กับวัคซีนทุกชนิด และเกิดขึ้นชั่วคราว เท่านั้น

หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้ โดยยาที่สามารถรับประทานได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดยา ได้แก่

ยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน

  • ยากลุ่ม Acetaminophen: Paracetamol 

  • ยากลุ่ม NSAIDs: Aspirin, Ibuprofen, Naproxen 

  • ยากลุ่ม Ergotamine, คาเฟอีน: Cafergot, Tafago 

  • ยากลุ่ม Triptans: Relpax, Siagran, Zomig

  • ยาป้องกันไมเกรน

  • กลุ่มยากันชัก: Topiramate, Valproic acid 

  • กลุ่มยาต้านเศร้า: Amitriptyline, Venlafaxine 

  • กลุ่มต้านแคลเซียม: Flunarizine 

  • กลุ่มต้านเบต้า: Propranolol 

รวมถึงยาป้องกันไมเกรนชนิดอื่นๆ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เทคนิคการดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

 

เทคนิคการดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

สังเกตอาการของตัวเองหลังดื่มกาแฟให้ดี

เหมือนกับการดื่มแอลกอฮอล์ หากเรารู้อาการ และลิมิตของตัวเองดีว่า เราสามารถดื่มกาแฟได้กี่แก้วโดยที่เราไม่รู้สึกถึงฤทธิ์ของคาเฟอีนมากเกินไปจนทำให้ใจสั่น มือสั่น หรือนอนไม่หลับ เราก็จะทราบปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มกาแฟต่อวันของเรา ซึ่งในแต่ละคนมีปริมาณที่ร่างกายทนต่อคาเฟอีนได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน รวมถึงชนิดของกาแฟ ความเข้ม ความจางของกาแฟด้วย

เลือกดื่มกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล

ส่วนใหญ่ที่ดื่มกาแฟกันแล้วอ้วนขึ้น อาจเป็นเพราะน้ำตาลที่มากับกาแฟที่ใส่เพิ่มมาด้วย หากติดกาแฟ และต้องการใช้ประโยชน์จากคาเฟอีนจริงๆ ควรเลือกกาแฟดำ หรืออเมริกาโน เพื่อให้ได้รสชาติและประโยชน์จากกาแฟล้วนๆ ไม่รวมน้ำตาลและอื่นๆ ที่ใส่เพิ่มเข้ามา

ไม่ดื่มกาแฟจนรบกวนการนอนหลับพักผ่อน

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟ คือการดื่มกาแฟในปริมาณหรือช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ในช่วงเย็นๆ ที่ทำให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนเข้าไปรบกวนการนอนหลับ ทำให้นอนไม่หลับได้ ดังนั้นควรงดดื่มกาแฟในช่วงหลัง 4-6 โมงเย็นเป็นต้นไป

ไม่ดื่มกาแฟขณะท้องว่าง

หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นว่ากาแฟมักขายคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น คุกกี้ โดนัท ขนมปัง แซนวิช และอื่นๆ ในมื้อเช้า เพราะจริงๆ แล้วการดื่มกาแฟในขณะที่ท้องว่าง อาจเข้าไปเร่งการหลั่งกรดย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นหากดื่มกาแฟไปพร้อมๆ กับอาหารเช้า ก็จะช่วยป้องกันเรื่องนี้ได้

ไม่ดื่มกาแฟทุกค่ำคืน

หลายคนเลือกดื่มกาแฟทุกครั้งที่ต้องอยู่อ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืนจะได้ไม่ง่วง แม้ว่าฤทธิ์ของคาเฟอีนจะช่วยให้สมองของคุณตื่นตัวได้ชั่วคราว แต่ไม่ควรใช้มุกนี้ในการอยู่โยงตอนกลางคืนตลอดเวลา เพราะอย่างไรสมองก็ยังคงต้องการการพักผ่อนที่แท้จริงมากกว่า

กินแคลเซียมทดแทน

หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมให้มากขึ้น เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น

กินผักผลไม้ให้มากขึ้น

กินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แคร์ร็อต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สิ่งควรพึ่งระวังปัสสาวะตอนกลางคืนที่ผิดปกติอาจเกิดโรคร้ายได้

 

สิ่งควรพึ่งระวังปัสสาวะตอนกลางคืนที่ผิดปกติอาจเกิดโรคร้ายได้

อย่างไรก็ตาม การปัสสาวะตอนกลางคืน ไม่ควรมากกว่า 2 ครั้งต่อคืน เพราะหากปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้งต่อคืน อาจจะต้องตรวจหาสาเหตุต่อไป 

ปัสสาวะตอนกลางคืน ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำทดแทน

การปัสสาวะเป็นกลไกการขับน้ำส่วนที่เกินความต้องการของร่างกายออกมา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหลังจากปัสสาวะทุกครั้ง แต่อาจจะดื่มตามความรู้สึกคอแห้งหรืออยากดื่มมากกว่า และไม่มีข้อมูลว่า การไม่ดื่มน้ำหลังปัสสาวะกลางคืน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดหัวใจ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำในช่วงกลางคืนที่มากเกินไป ทำให้ต้องลุกปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งทำให้การนอนไม่ต่อเนื่อง จะมีผลต่อสุขภาพในกลางวันได้ และอาจจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุขณะลุกขึ้นมาเพื่อเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และหากต้องการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดหัวใจ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำสม่ำเสมอ

ดังนั้น ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่า การไม่ดื่มน้ำหลังปัสสาวะกลางคืน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดหัวใจ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เทคนิคกิน ขนมปัง แบบไม่อ้วนฉบับสาวญี่ปุ่น

เทคนิคกิน ขนมปัง แบบไม่อ้วนฉบับสาวญี่ปุ่น

 รับประทานในตอนเช้าไม่เกิน 13.00 น.

เนื่องจากขนมปังหวานมีพลังงานสูงจากส่วนผสมแป้งสาลี นมเนยและน้ำตาล ดังนั้นจึงควรรับประทานครั้งละไม่เกิน 2 ฝ่ามือ และควรรับประทานในช่วงเช้าจนถึงเวลาไม่เกิน 13.00 น. เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี

รับประทานพร้อมกับอาหารที่ให้โปรตีน

การรับประทานขนมปังพร้อมกับอาหารที่ให้โปรตีน ได้แก่ ไข่ แฮม ปลาทูน่ากระป๋อง และชีส เป็นต้น จะช่วยเสริมการตั้งเวลานาฬิกาชีวภาพในร่างกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

รับประทานพร้อมเครื่องดื่มอุ่น

เครื่องดื่มอุ่น เช่น นม ชา และกาแฟ เป็นต้น จะช่วยเพิ่มอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายซึ่งส่งผลในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีขึ้น

รับประทานอาหารอย่างช้า โดยใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที

การเคี้ยวอย่างละเอียดและใช้เวลารับประทานอาหารเช้ารวมถึงขนมปังหวานประมาณ  20 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มไวและอิ่มนานแม้จะรับประทานเพียงเล็กน้อย อีกทั้งการเคี้ยวอย่างละเอียดจะช่วยลดภาระการย่อยของระบบทางเดินอาหารด้วย

รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเป็นอาหารมื้อเย็น

หากรับประทานขนมปังที่มีรสหวานในตอนเช้าหรือกลางวัน ก็ควรเลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ หรือโซบะเป็นอาหารมื้อเย็นแทนการรับประทานข้าวขาว

ไม่รับประทานทุกวัน

หากรับประทานขนมปังทุกวัน น้ำตาลและไขมันจากเนยจะส่งให้อ้วนได้ง่ายขึ้น

รับประทานผักก่อน

ผักอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร การรับประทานผักก่อนขนมปังจะกดการเพิ่มของระดับน้ำตาลในเลือดและทำให้รู้สึกอิ่มนาน ส่งผลให้อ้วนได้ยากกว่าการรับประทานขนมปังเพียงอย่างเดียว

ในยามที่กำลังลดน้ำหนัก น้ำตาล คาร์โบไฮเดรตและน้ำมัน คืออุปสรรคของความผอม อย่างไรก็ดี บางครั้งคนเราจำเป็นต้องรับประทานของหวานเพื่อความสุขทางใจ หากอยากรับประทานขนมปังที่มีรสหวานหรือขนมหวานอื่นๆ  โดยไม่ให้ส่งผลเสียต่อกระบวนการลดน้ำหนักก็ลองรับประทานตามคำแนะนำข้างต้นดู

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่า 6 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ร่างกายเตือนต้อง พักผ่อน

 

สาระน่า 6 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ร่างกายเตือนต้อง พักผ่อน

1.ไม่มีสมาธิ

อาการแรกเรามักไม่มีสมาธิ กระสับกระส่าย รู้สึกกังวล อาการนี้มักเกิดขึ้นจากการไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ความกังวลถึงงานที่มีปัญหา ทำให้คุณภาพงานที่ได้ออกมาน้อยลง 

2.นอนหลับยาก

กว่าจะหลับก็ยาก ตื่นกลางดึก พยายามนอนเท่าไรก็ไม่หลับ อาการเหล่านี้หากติดต่อกันนานๆ จะส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ส่วนใหญ่มักมาจากความเครียด ความกังวลใจที่ได้เจอ

3.กินไม่ปกติ

กินมากกว่าปกติ กินน้อยกว่าปกติ เป็นสัญญาณของความเครียดอย่างหนึ่งที่บอกกับตัวเราว่า เราควรต้องหยุดพักจากกิจกรรมที่ทำให้เราเครียด  และสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยคือ มักไม่กินอาหารมื้อหลัก แต่กินของว่าง ขนมแทน อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกว่าเราควรพักได้เช่นกัน 

4.ไม่มีแรงจูงใจ

หมดกำลังใจ ไม่อยากลุกไปเรียน ไม่อยากลุกไปทำงาน ทั้งๆที่ปกติเคยอยากทำมากๆ หรือแม้กระทั่งไม่อยากออกไปเจอผู้คน ไม่อยากไปทำอะไรที่ชอบ อาการนี้ส่วนใหญ่มาจากความเบื่อ อยู่ในจุดที่เบื่อมากๆไม่อยากทำอะไร 

5.ป่วยตลอดเวลา

รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ปวดท้อง ไม่สบายตลอดเวลา อาการนี้ความเครียด ความกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น 

6.ไม่สนุกกับสิ่งที่ชอบอีกต่อไป

จากเป็นคนที่ชอบดูหนัง ชอบไปคาเฟ่ กลับกลายเป็นไม่ชอบอีกต่อไป ไม่รู้สึกว่าทำแล้วมันจะมีความสุข อาการนี้อาจจะเป็นอาการของภาวะสิ้นยินดี หรือภาวะซึมเศร้าก็ได้ หากรู้สึกแบบนี้ควรพักหรือปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป 

หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นกับตัว ทางที่ดีควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน ลางาน ออกไปเที่ยว มีเวลาให้กับตัวเอง หากมากจนไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเองก็ให้ปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

สาระน่ารู้ ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

 หลากหลายวิธีที่ช่วยลดความอ้วน มีอีกวิธีที่สาวๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยิน นั่นคือการ “ฝังเข็ม” จริงๆ แล้วการฝังเข็มที่เป็นศาสตร์ของแพทย์จีน ที่สามารถรักษาและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ได้ จะช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่ เรามีคำตอบมาฝาก

ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

อ. นพ.จักรพงษ์ เสารงทอง ฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่การฝังเข็มจะสามารถช่วยลดความอ้วนได้ 

โดยจากผลการศึกษาพบว่า การฝังเข็มมีผลต่อกลไกการทำงานของระบบฮอร์โมนในร่างกายซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ใช้ในการรักษาได้ 

การฝังเข็ม มีผลทำให้ร่างกายดีขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

  • ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตดีขึ้น
  • กระตุ้นการขับไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายทางเหงื่อสัดส่วนร่างกายลดลง
  • ระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันลดลง
  • ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลและไขมันในร่างกาย
  • ปรับสมดุลของต่อมไทรอยด์และต่อมหมวกไต ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การฝังเข็มทุกครั้งควรกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วยอุปกรณ์ที่สะอาด ปลอดเชื้อ ในสถานที่ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเท่านั้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

 

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ปัญหาการนอนไม่หลับเกิดจากภาวะที่ไม่สมดุลกันของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งประกอบไปด้วยระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งทำหน้าที่เด่นในตอนกลางวันเพื่อให้คนตื่นตัวทำงานได้ดี และระบบประสาทพาราซิมพาเทติกซึ่งเป็นระบบประสาทที่ทำหน้าที่เด่นในตอนกลางคืนเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย หากคนเรามีความเครียดมากจะทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานเด่นตลอดเวลาและส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ

วิธีการที่คนญี่ปุ่นแนะนำให้ปฏิบัติเพื่อให้หลับง่ายและหลับลึก

หลักสำคัญที่จะช่วยให้หลับง่าย คือ การปรับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุลกัน เพื่อให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกหน้าที่เด่นในตอนกลางคืน โดยมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้คือ

การกำหนดลมหายใจ

วิธีการนี้ทำได้ตอนก่อนนอนโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นลมหายใจไว้แล้วนับ 1-5 จากนั้นจึงปล่อยลมหายใจออกให้หมดแล้วนับ 1-5 ทำซ้ำหายใจเข้าและออกเป็นจำนวน 7-8 ครั้ง ก็จะช่วยปรับให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานได้สมดุลและทำให้หลับได้ง่ายขึ้น

การใช้ยางวงรัดที่นิ้วนาง

นิ้วนางมีจุดที่แพทย์แผนจีนเรียกว่าจุดฝังเข็ม ซึ่งเป็นจุดที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ การใช้ยางรัดตรงบริเวณปลายนิ้วนางบริเวณเหนือหัวเล็บจะไปกดการทำงานของระบบประสาทที่ทำให้ตื่นตัว คือ ระบบประสาทซิมพาเทติกไว้ และทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติมีความสมดุล ส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายและสนิท

วิธีการรัดเริ่มจากการยืนตัวตรงและบิดตัวไปด้านซ้ายหรือขวา โดยหากบิดตัวไปด้านขวาได้ดีกว่าก็ให้ใช้ยางรัดหลวมๆ ตรงบริเวณเหนือเล็บของนิ้วนางขวา และหากบิดตัวไปด้านซ้ายได้ดีกว่าก็ให้ใช้ยางรัดหลวมๆ ตรงบริเวณเหนือเล็บของนิ้วนางซ้าย (โดยทั่วไปคนที่เครียดง่ายและเป็นกังวลตลอดเวลาจะบิดตัวไปด้านซ้ายได้ง่ายกว่า เพราะการทำงานที่มากเกินไปของระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำให้จุดศูนย์กลางของร่างกายเอียงไปด้านซ้าย) โดยสามารถรัดยางก่อนนอนหรือรัดไว้ทั้งวันก็ได้ แต่ต้องระวังไม่รัดยางแน่นจนเลือดไหลเวียนไปสู่ปลายนิ้วไม่ได้ คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยบอกว่าวิธีการนี้ช่วยทำให้นอนหลับง่ายและดีขึ้น

การทำงานที่สมดุลกันของระบบประสาทอัตโนมัติมีผลต่อการทำให้คนนอนหลับได้ดีและเสริมให้ภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรง หากรู้สึกว่านอนไม่หลับแม้จะออกกำลังกายหรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้นอนหลับดีแล้วก็ตาม ก็ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการข้างต้นดู

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้จุดดำบน กระเทียม คือ เชื้อรา จริงหรือ?

 

สาระน่ารู้จุดดำบน กระเทียม คือ เชื้อรา จริงหรือ?

จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่ารอยจุดสีน้ำตาลที่พบบนเนื้อกระเทียม คือเชื้อรา ซึ่งส่วนใหญ่เชื้อราพวกนี้เป็นเชื้อราที่มีพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า จุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมอาจเกิดจากรอยช้ำของกระเทียมส่งผลให้เชื้อราหลากหลายชนิดอาจปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้นๆ โดยมักพบในกระเทียมที่มีการเก็บรักษาไม่เหมาะสมหรือเก็บไว้เป็นเวลานาน

จุดดำในกระเทียม เป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ 

ตามที่มีข้อกังวลว่าเชื้อราที่อยู่บนกระเทียมอาจสร้างสารพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลงานวิจัย พบว่า เชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสารอะฟลาทอกซินซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าพบสารอะฟลาทอกซินบริเวณรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียมสรุปคือ รอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมคือรอยช้ำ จึงส่งผลให้เชื้อราหรือจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้น ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุว่ารอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมนี้มีสารก่อมะเร็ง

เฉือนกระเทียมเฉพาะส่วนที่มีจุดดำแล้วนำมาประกอบอาหารต่อได้หรือไม่?

หากพบรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียมควรทิ้งไปทั้งกลีบ หรืออาจหั่นบริเวณนั้นทิ้งและควรรับประทานกระเทียมที่ปรุงสุกเพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ และแนะนำให้ควรเลือกซื้อกระเทียมที่สดใหม่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ไม่มีลักษณะของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อรา การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในที่แห้งไม่อับชื้นและไม่เก็บไว้นานเกินไป

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ เจ็บคอ แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้

 

สาระน่ารู้ เจ็บคอ แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้

เจ็บคอจากการติดเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ

มีอาการดังนี้

  • คอแดง
  • ทอนซิลบวมแดง

พร้อมอาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่

  • มีไข้ต่ำๆ
  • ไอ
  • น้ำมูกไหล
  • เสียงแหบ
  • อ่อนเพลีย

อาการเจ็บคอจากเชื้อไวรัส สามารถพบได้บ่อยกว่า จากการเจ็บคอเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา ควรพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เพื่อบรรเทาอาการระคายคอ ถ้าไอหรือมีน้ำมูกมาก อาจกินยาแก้ไอหรือยาแก้แพ้ โดยทั่วไปมักหายเองได้ภายใน 7-14 วัน

เจ็บคอจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะ

มีอาการดังนี้

  • คอแดง
  • มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล
  • ทอนซิลบวมแดง
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

รู้หรือไม่ หักข้อนิ้ว บ่อยๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย


รู้หรือไม่ หักข้อนิ้ว บ่อยๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า ในส่วนของข้อนิ้วมือ จากการวิจัยในคน 300 คน ซึ่งชอบหักนิ้วมือมาตลอด 35 ปี พบว่า การหักนิ้วมือเป็นประจำไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพแต่อย่างใด แต่อาจมีผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ข้อนิ้วมือปูดบวมหรือผิดรูป เนื่องจากเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงแรงในการกำมือลดลง เมื่อทำต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ 

เสียงจากการหักข้อนิ้ว เกิดขึ้นได้อย่างไร

ข้อมูลจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ระบุว่า หักนิ้วมือหรือข้อนิ้วมือนั้น เสียงดังก็อกที่ได้ยินเกิดจากการแตกตัวของฟองอากาศจากของเหลวหล่อลื่นที่เรียกว่า น้ำไขข้อ ซึ่งน้ำไขข้อนี้จะทำหน้าที่หล่อลื่น ช่วยให้ข้อต่อสามารถงอ เหยียด หรือเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด และเมื่อเราหักนิ้วมือด้วยแรงกดและความเร็วที่มากกว่าปกติที่เรางอนิ้วมือธรรมดา จะทำให้ความดันภายในน้ำไขข้อลดต่ำลงจนทำให้เกิดฟองขึ้นในน้ำไขข้อ ทำให้แก๊สในน้ำไขข้อไม่ละลายน้ำและแยกตัวมาอยู่ที่ฟองอากาศ ซึ่งเสียงดังนั้นก็มาจากการระเบิดของฟองอากาศในน้ำไขข้อนั่นเองหักข้อนิ้วบ่อย เสี่ยง “นิ้วล็อค” หรือไม่

ทางด้านของ นพ.นรฤทธิ์ ล้วนจำเริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า การหักนิ้วบ่อยๆ ไม่ได้ส่งผลเสียถึงขนาดเป็นนิ้วล็อคได้ แต่อาจทำกระดูกอาจจะโปนใหญ่กว่าคนปกติ เพราะการหักนิ้วบ่อยๆ ทำให้ตัวข้อนิ้วมือมีการบวมมากกว่าคนที่ไม่หักนิ้ว ซึ่งส่งผลแค่ลักษณะภายนอกเท่านั้น

ในส่วนของโรคนิ้วล็อค นั้นเกิดจากปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณนิ้วอักเสบและหนาขึ้น ทำให้เอ็นที่อยู่ภายในไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ มักเกิดกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนาง หรืออาจเป็นพร้อมกันหลายนิ้ว สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากพฤติกรรมการใช้มือต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เช่น การถือหรือแบกของหนักเป็นเวลานาน ใช้อุปกรณ์ที่ต้องออกแรงกดต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์มากเกินไป เป็นต้น

การหักข้อนิ้วมือนั้นไม่พบว่ามีอันตรายต่อกระดูก แต่หากทำพฤติกรรมนี้บ่อยๆ จะทำให้ปลอกหุ้มข้อเสื่อมได้ ส่งผลให้กำลังในการบีบมือลดลง เพราะเอ็นรอบข้อไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ควรหักนิ้วเล่นบ่อย ๆ เนื่องจากอาจส่งผลในระยะยาวได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/