วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้"งูสวัด" เกิดจากอะไร

 

สาระน่ารู้"งูสวัด"เกิดจากอะไร

กรณีความเชื่อเกี่ยวกับโรคงูสวัด ที่ระบุว่าหากงูสวัดขึ้นวนรอบตัวจะทำให้เสียชีวิตนั้น ทางสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคสุกใส และอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสเริม ผู้ป่วยที่เป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อหายจากโรค เชื้อไวรัสจะเข้าไปซ่อนในปมประสาท และจะถูกกระตุ้นเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ซึ่งไวรัสจะมีการแบ่งตัวทำให้การปล่อยเชื้อไวรัสออกมาตามแนวเส้นประสาท 

อาการของโรคงูสวัด

ผู้ป่วยโรคงูสวัด จะมีอาการแสดงเบื้องต้นคือปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังซึ่งถูกควบคุมโดยแนวเส้นประสาทนั้น ต่อมาจะมีผื่นแดงตามด้วยตุ่มน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท โดยที่ตุ่มน้ำสามารถกลายเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นแผล หรือเป็นสะเก็ดตามมาได้ หลังจากอาการทางผิวหนังหายแล้ว อาจมีอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยบางราย รวมถึงอาจมีแผลเป็นตามหลังได้ ซึ่งการเกิดการกระตุ้นของไวรัส varicella ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดนั้น มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด โดยอาการที่พบมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไปที่สุขภาพแข็งแรง

"งูสวัด" ขึ้นวนรอบตัว?

ทั้งนี้โรคงูสวัดจะเกิดตามแนวยาวของเส้นประสาทเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเกิดในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำมากๆ อาจจะมีอาการกำเริบและเกิดการลุกลามได้มากกว่าปกติ หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ แต่โดยสรุปแล้วโรคงูสวัดไม่ถือเป็นโรคที่ร้ายแรง 

วิธีรักษาโรคงูสวัด

การรักษาโรคงูสวัดนั้น มีทั้งการรักษาตามอาการ และการรักษาร่วมกับการใช้ยาต้านไวรัส รวมถึงให้ยาแก้ปวดปลายเส้นประสาทร่วมด้วย หากสงสัยว่าเป็นโรคงูสวัดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาในช่วงแรกของโรคจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

โรคงูสวัดจะเกิดตามแนวยาวของเส้นประสาทเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น และโรคงูสวัดไม่ถือเป็นโรคที่ร้ายแรง ยกเว้นโรคดังกล่าวเกิดในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำมากๆ อาจจะมีอาการกำเริบและเกิดการลุกลามได้มากกว่าปกติ หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ชนิดของยาฝังคุมกำเนิด

 

สาระน่ารู้ชนิดของยาฝังคุมกำเนิด

ยาฝังคุมกำเนิด เป็นวิธีการควบคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง มี 2 ชนิด ได้แก่  

  • ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 1 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
  • ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 2 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี 

โดยจะฝังใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน และถอดออกเมื่อครบกำหนด

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

  • สะดวก มีประสิทธิภาพสูง และคุมกำเนิดได้นาน
  • ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ไม่ต้องกังวล เรื่องการตั้งครรภ์ หรือปัญหาลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด
  • ใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของน้ำนม เมื่อหยุดการใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะสามารถกลับสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้เร็ว 

อาการข้างเคียงจากการฝังยาคุมกำเนิด

การฝังยาคุมกำเนิดอาจมีอาการข้างเคียง ได้แก่ 

  • ปวดศีรษะ 
  • คลื่นไส้ 
  • ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย 
  • เป็นสิว 
  • อารมณ์แปรปรวนได้บ้าง 

ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 6 เดือน 

หากผู้รับบริการยาฝังคุมกำเนิดมีเลือดออกผิดปกติ ปวดศีรษะมาก มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดประจำเดือน หรือประจำเดือนมากะปริดกะปรอย สามารถขอรับคำปรึกษาและการรักษาได้จากผู้ให้บริการ สำหรับวัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมและยังหาทางออกกับปัญหาไม่ได้ สามารถโทรไปปรึกษาดูแลช่วยเหลือตามสภาพปัญหาที่สายด่วน 1663 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ได้ทุกวัน เพื่อรับบริการปรึกษาทางเลือกและส่งต่อดูแล รวมทั้งการให้บริการแนะแนวทางการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้อันตรายจากการกิน ปูดิบ

สาระน่ารู้อันตรายจากการกิน ปูดิบ

การกินปูดิบ หรือปูที่กึ่งสุกกึ่งดิบ ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน หรือใช้ความร้อนในระยะเวลาสั้น เสี่ยงต่อการเป็นพยาธิใบไม้ในปอด เพราะเวลากินปูดิบๆ เข้าไปก็มีโอกาสกินไข่ หรือตัวอ่อนของพยาธิเข้าไปด้วย ซึ่งน้ำย่อยในกระเพาะไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ ถึงแม้พยาธิจะไม่สามารถแพร่พันธุ์ในตัวคนเราได้ แต่สามารถชอนไชเข้าไปในปอด ฟักตัว และมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ส่งผลให้มีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด และในบางรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ จึงต้องระมัดระวังในการบริโภคอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย หากต้องการปรุงอาหารที่มีปูเป็นส่วนประกอบหลัก ควรนำปูมาลวกให้สุกด้วยความร้อน ก่อนนำมากิน

กินปูอย่างไรให้ปลอดภัย ลดเสี่ยงโรค

  • การปรุงประกอบอาหารเองไม่ว่าจะเป็นเมนูใด ควรปฏิบัติดังวิธีต่อไปนี้ เพื่อลดเสี่ยงอันตราย
  • ก่อนนำวัตถุดิบมาปรุง ต้องล้างน้ำให้สะอาด เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรค พยาธิ สารเคมีตกค้าง
  • ต้องปรุงให้สุก โดยใช้ความร้อนให้อาหารสุกอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ต้องสุกถึงข้างใน 
  • ควรแยกอาหารที่ปรุงสุก และที่ยังไม่สุกออกจากกัน 
  • ยึดหลักกินร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว ล้างมือ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคที่มีอาหารและน้ำเป็นสื่อ เช่น  โรคอาหารเป็นพิษ  โรคอุจจาระร่วง เป็นต้น 

หากเลือกซื้ออาหารจากร้านค้า ร้านอาหาร ควรสังเกตป้ายสัญลักษณ์ “อาหารสะอาด รสชาติอร่อย” หรือ Clean Food Good Taste ที่กรมอนามัยรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความสะอาดปลอดภัยของอาหารและร้านค้าให้กับผู้บริโภค

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้หรือไม่

สาระน่ารู้ หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้หรือไม่

สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย ระบุว่า จากการรายงานผลหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พบว่า มีอาการผิดปกติทางระบบประสาทชั่วคราว เช่น อาการชา หรือ อาการอ่อนแรง อาการดังกล่าว เกิดจากการตอบสนองของร่างกาย จากการฉีดวัคซีน ซึ่งเกิดได้กับวัคซีนทุกชนิด และเกิดขึ้นชั่วคราว เท่านั้น

หากมีอาการปวดศีรษะจากไมเกรนหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถกินยาแก้ปวดไมเกรนได้ โดยยาที่สามารถรับประทานได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดยา ได้แก่

ยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน

  • ยากลุ่ม Acetaminophen: Paracetamol 

  • ยากลุ่ม NSAIDs: Aspirin, Ibuprofen, Naproxen 

  • ยากลุ่ม Ergotamine, คาเฟอีน: Cafergot, Tafago 

  • ยากลุ่ม Triptans: Relpax, Siagran, Zomig

  • ยาป้องกันไมเกรน

  • กลุ่มยากันชัก: Topiramate, Valproic acid 

  • กลุ่มยาต้านเศร้า: Amitriptyline, Venlafaxine 

  • กลุ่มต้านแคลเซียม: Flunarizine 

  • กลุ่มต้านเบต้า: Propranolol 

รวมถึงยาป้องกันไมเกรนชนิดอื่นๆ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เทคนิคการดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

 

เทคนิคการดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

สังเกตอาการของตัวเองหลังดื่มกาแฟให้ดี

เหมือนกับการดื่มแอลกอฮอล์ หากเรารู้อาการ และลิมิตของตัวเองดีว่า เราสามารถดื่มกาแฟได้กี่แก้วโดยที่เราไม่รู้สึกถึงฤทธิ์ของคาเฟอีนมากเกินไปจนทำให้ใจสั่น มือสั่น หรือนอนไม่หลับ เราก็จะทราบปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มกาแฟต่อวันของเรา ซึ่งในแต่ละคนมีปริมาณที่ร่างกายทนต่อคาเฟอีนได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน รวมถึงชนิดของกาแฟ ความเข้ม ความจางของกาแฟด้วย

เลือกดื่มกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล

ส่วนใหญ่ที่ดื่มกาแฟกันแล้วอ้วนขึ้น อาจเป็นเพราะน้ำตาลที่มากับกาแฟที่ใส่เพิ่มมาด้วย หากติดกาแฟ และต้องการใช้ประโยชน์จากคาเฟอีนจริงๆ ควรเลือกกาแฟดำ หรืออเมริกาโน เพื่อให้ได้รสชาติและประโยชน์จากกาแฟล้วนๆ ไม่รวมน้ำตาลและอื่นๆ ที่ใส่เพิ่มเข้ามา

ไม่ดื่มกาแฟจนรบกวนการนอนหลับพักผ่อน

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟ คือการดื่มกาแฟในปริมาณหรือช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ในช่วงเย็นๆ ที่ทำให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนเข้าไปรบกวนการนอนหลับ ทำให้นอนไม่หลับได้ ดังนั้นควรงดดื่มกาแฟในช่วงหลัง 4-6 โมงเย็นเป็นต้นไป

ไม่ดื่มกาแฟขณะท้องว่าง

หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นว่ากาแฟมักขายคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น คุกกี้ โดนัท ขนมปัง แซนวิช และอื่นๆ ในมื้อเช้า เพราะจริงๆ แล้วการดื่มกาแฟในขณะที่ท้องว่าง อาจเข้าไปเร่งการหลั่งกรดย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นหากดื่มกาแฟไปพร้อมๆ กับอาหารเช้า ก็จะช่วยป้องกันเรื่องนี้ได้

ไม่ดื่มกาแฟทุกค่ำคืน

หลายคนเลือกดื่มกาแฟทุกครั้งที่ต้องอยู่อ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืนจะได้ไม่ง่วง แม้ว่าฤทธิ์ของคาเฟอีนจะช่วยให้สมองของคุณตื่นตัวได้ชั่วคราว แต่ไม่ควรใช้มุกนี้ในการอยู่โยงตอนกลางคืนตลอดเวลา เพราะอย่างไรสมองก็ยังคงต้องการการพักผ่อนที่แท้จริงมากกว่า

กินแคลเซียมทดแทน

หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมให้มากขึ้น เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น

กินผักผลไม้ให้มากขึ้น

กินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แคร์ร็อต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สิ่งควรพึ่งระวังปัสสาวะตอนกลางคืนที่ผิดปกติอาจเกิดโรคร้ายได้

 

สิ่งควรพึ่งระวังปัสสาวะตอนกลางคืนที่ผิดปกติอาจเกิดโรคร้ายได้

อย่างไรก็ตาม การปัสสาวะตอนกลางคืน ไม่ควรมากกว่า 2 ครั้งต่อคืน เพราะหากปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้งต่อคืน อาจจะต้องตรวจหาสาเหตุต่อไป 

ปัสสาวะตอนกลางคืน ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำทดแทน

การปัสสาวะเป็นกลไกการขับน้ำส่วนที่เกินความต้องการของร่างกายออกมา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหลังจากปัสสาวะทุกครั้ง แต่อาจจะดื่มตามความรู้สึกคอแห้งหรืออยากดื่มมากกว่า และไม่มีข้อมูลว่า การไม่ดื่มน้ำหลังปัสสาวะกลางคืน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดหัวใจ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำในช่วงกลางคืนที่มากเกินไป ทำให้ต้องลุกปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งทำให้การนอนไม่ต่อเนื่อง จะมีผลต่อสุขภาพในกลางวันได้ และอาจจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุขณะลุกขึ้นมาเพื่อเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และหากต้องการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดหัวใจ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำสม่ำเสมอ

ดังนั้น ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่า การไม่ดื่มน้ำหลังปัสสาวะกลางคืน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดหัวใจ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เทคนิคกิน ขนมปัง แบบไม่อ้วนฉบับสาวญี่ปุ่น

เทคนิคกิน ขนมปัง แบบไม่อ้วนฉบับสาวญี่ปุ่น

 รับประทานในตอนเช้าไม่เกิน 13.00 น.

เนื่องจากขนมปังหวานมีพลังงานสูงจากส่วนผสมแป้งสาลี นมเนยและน้ำตาล ดังนั้นจึงควรรับประทานครั้งละไม่เกิน 2 ฝ่ามือ และควรรับประทานในช่วงเช้าจนถึงเวลาไม่เกิน 13.00 น. เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี

รับประทานพร้อมกับอาหารที่ให้โปรตีน

การรับประทานขนมปังพร้อมกับอาหารที่ให้โปรตีน ได้แก่ ไข่ แฮม ปลาทูน่ากระป๋อง และชีส เป็นต้น จะช่วยเสริมการตั้งเวลานาฬิกาชีวภาพในร่างกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

รับประทานพร้อมเครื่องดื่มอุ่น

เครื่องดื่มอุ่น เช่น นม ชา และกาแฟ เป็นต้น จะช่วยเพิ่มอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายซึ่งส่งผลในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีขึ้น

รับประทานอาหารอย่างช้า โดยใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที

การเคี้ยวอย่างละเอียดและใช้เวลารับประทานอาหารเช้ารวมถึงขนมปังหวานประมาณ  20 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มไวและอิ่มนานแม้จะรับประทานเพียงเล็กน้อย อีกทั้งการเคี้ยวอย่างละเอียดจะช่วยลดภาระการย่อยของระบบทางเดินอาหารด้วย

รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเป็นอาหารมื้อเย็น

หากรับประทานขนมปังที่มีรสหวานในตอนเช้าหรือกลางวัน ก็ควรเลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ หรือโซบะเป็นอาหารมื้อเย็นแทนการรับประทานข้าวขาว

ไม่รับประทานทุกวัน

หากรับประทานขนมปังทุกวัน น้ำตาลและไขมันจากเนยจะส่งให้อ้วนได้ง่ายขึ้น

รับประทานผักก่อน

ผักอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร การรับประทานผักก่อนขนมปังจะกดการเพิ่มของระดับน้ำตาลในเลือดและทำให้รู้สึกอิ่มนาน ส่งผลให้อ้วนได้ยากกว่าการรับประทานขนมปังเพียงอย่างเดียว

ในยามที่กำลังลดน้ำหนัก น้ำตาล คาร์โบไฮเดรตและน้ำมัน คืออุปสรรคของความผอม อย่างไรก็ดี บางครั้งคนเราจำเป็นต้องรับประทานของหวานเพื่อความสุขทางใจ หากอยากรับประทานขนมปังที่มีรสหวานหรือขนมหวานอื่นๆ  โดยไม่ให้ส่งผลเสียต่อกระบวนการลดน้ำหนักก็ลองรับประทานตามคำแนะนำข้างต้นดู

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่า 6 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ร่างกายเตือนต้อง พักผ่อน

 

สาระน่า 6 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ร่างกายเตือนต้อง พักผ่อน

1.ไม่มีสมาธิ

อาการแรกเรามักไม่มีสมาธิ กระสับกระส่าย รู้สึกกังวล อาการนี้มักเกิดขึ้นจากการไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ความกังวลถึงงานที่มีปัญหา ทำให้คุณภาพงานที่ได้ออกมาน้อยลง 

2.นอนหลับยาก

กว่าจะหลับก็ยาก ตื่นกลางดึก พยายามนอนเท่าไรก็ไม่หลับ อาการเหล่านี้หากติดต่อกันนานๆ จะส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ส่วนใหญ่มักมาจากความเครียด ความกังวลใจที่ได้เจอ

3.กินไม่ปกติ

กินมากกว่าปกติ กินน้อยกว่าปกติ เป็นสัญญาณของความเครียดอย่างหนึ่งที่บอกกับตัวเราว่า เราควรต้องหยุดพักจากกิจกรรมที่ทำให้เราเครียด  และสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยคือ มักไม่กินอาหารมื้อหลัก แต่กินของว่าง ขนมแทน อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกว่าเราควรพักได้เช่นกัน 

4.ไม่มีแรงจูงใจ

หมดกำลังใจ ไม่อยากลุกไปเรียน ไม่อยากลุกไปทำงาน ทั้งๆที่ปกติเคยอยากทำมากๆ หรือแม้กระทั่งไม่อยากออกไปเจอผู้คน ไม่อยากไปทำอะไรที่ชอบ อาการนี้ส่วนใหญ่มาจากความเบื่อ อยู่ในจุดที่เบื่อมากๆไม่อยากทำอะไร 

5.ป่วยตลอดเวลา

รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ปวดท้อง ไม่สบายตลอดเวลา อาการนี้ความเครียด ความกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น 

6.ไม่สนุกกับสิ่งที่ชอบอีกต่อไป

จากเป็นคนที่ชอบดูหนัง ชอบไปคาเฟ่ กลับกลายเป็นไม่ชอบอีกต่อไป ไม่รู้สึกว่าทำแล้วมันจะมีความสุข อาการนี้อาจจะเป็นอาการของภาวะสิ้นยินดี หรือภาวะซึมเศร้าก็ได้ หากรู้สึกแบบนี้ควรพักหรือปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป 

หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นกับตัว ทางที่ดีควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน ลางาน ออกไปเที่ยว มีเวลาให้กับตัวเอง หากมากจนไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเองก็ให้ปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

สาระน่ารู้ ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

 หลากหลายวิธีที่ช่วยลดความอ้วน มีอีกวิธีที่สาวๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยิน นั่นคือการ “ฝังเข็ม” จริงๆ แล้วการฝังเข็มที่เป็นศาสตร์ของแพทย์จีน ที่สามารถรักษาและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ได้ จะช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่ เรามีคำตอบมาฝาก

ฝังเข็ม ช่วย ลดความอ้วน ได้จริงหรือ?

อ. นพ.จักรพงษ์ เสารงทอง ฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่การฝังเข็มจะสามารถช่วยลดความอ้วนได้ 

โดยจากผลการศึกษาพบว่า การฝังเข็มมีผลต่อกลไกการทำงานของระบบฮอร์โมนในร่างกายซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ใช้ในการรักษาได้ 

การฝังเข็ม มีผลทำให้ร่างกายดีขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

  • ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตดีขึ้น
  • กระตุ้นการขับไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายทางเหงื่อสัดส่วนร่างกายลดลง
  • ระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันลดลง
  • ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลและไขมันในร่างกาย
  • ปรับสมดุลของต่อมไทรอยด์และต่อมหมวกไต ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การฝังเข็มทุกครั้งควรกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วยอุปกรณ์ที่สะอาด ปลอดเชื้อ ในสถานที่ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเท่านั้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

 

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ปัญหาการนอนไม่หลับเกิดจากภาวะที่ไม่สมดุลกันของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งประกอบไปด้วยระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งทำหน้าที่เด่นในตอนกลางวันเพื่อให้คนตื่นตัวทำงานได้ดี และระบบประสาทพาราซิมพาเทติกซึ่งเป็นระบบประสาทที่ทำหน้าที่เด่นในตอนกลางคืนเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย หากคนเรามีความเครียดมากจะทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานเด่นตลอดเวลาและส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ

วิธีการที่คนญี่ปุ่นแนะนำให้ปฏิบัติเพื่อให้หลับง่ายและหลับลึก

หลักสำคัญที่จะช่วยให้หลับง่าย คือ การปรับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุลกัน เพื่อให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกหน้าที่เด่นในตอนกลางคืน โดยมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้คือ

การกำหนดลมหายใจ

วิธีการนี้ทำได้ตอนก่อนนอนโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นลมหายใจไว้แล้วนับ 1-5 จากนั้นจึงปล่อยลมหายใจออกให้หมดแล้วนับ 1-5 ทำซ้ำหายใจเข้าและออกเป็นจำนวน 7-8 ครั้ง ก็จะช่วยปรับให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานได้สมดุลและทำให้หลับได้ง่ายขึ้น

การใช้ยางวงรัดที่นิ้วนาง

นิ้วนางมีจุดที่แพทย์แผนจีนเรียกว่าจุดฝังเข็ม ซึ่งเป็นจุดที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ การใช้ยางรัดตรงบริเวณปลายนิ้วนางบริเวณเหนือหัวเล็บจะไปกดการทำงานของระบบประสาทที่ทำให้ตื่นตัว คือ ระบบประสาทซิมพาเทติกไว้ และทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติมีความสมดุล ส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายและสนิท

วิธีการรัดเริ่มจากการยืนตัวตรงและบิดตัวไปด้านซ้ายหรือขวา โดยหากบิดตัวไปด้านขวาได้ดีกว่าก็ให้ใช้ยางรัดหลวมๆ ตรงบริเวณเหนือเล็บของนิ้วนางขวา และหากบิดตัวไปด้านซ้ายได้ดีกว่าก็ให้ใช้ยางรัดหลวมๆ ตรงบริเวณเหนือเล็บของนิ้วนางซ้าย (โดยทั่วไปคนที่เครียดง่ายและเป็นกังวลตลอดเวลาจะบิดตัวไปด้านซ้ายได้ง่ายกว่า เพราะการทำงานที่มากเกินไปของระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำให้จุดศูนย์กลางของร่างกายเอียงไปด้านซ้าย) โดยสามารถรัดยางก่อนนอนหรือรัดไว้ทั้งวันก็ได้ แต่ต้องระวังไม่รัดยางแน่นจนเลือดไหลเวียนไปสู่ปลายนิ้วไม่ได้ คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยบอกว่าวิธีการนี้ช่วยทำให้นอนหลับง่ายและดีขึ้น

การทำงานที่สมดุลกันของระบบประสาทอัตโนมัติมีผลต่อการทำให้คนนอนหลับได้ดีและเสริมให้ภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรง หากรู้สึกว่านอนไม่หลับแม้จะออกกำลังกายหรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้นอนหลับดีแล้วก็ตาม ก็ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการข้างต้นดู

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้จุดดำบน กระเทียม คือ เชื้อรา จริงหรือ?

 

สาระน่ารู้จุดดำบน กระเทียม คือ เชื้อรา จริงหรือ?

จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่ารอยจุดสีน้ำตาลที่พบบนเนื้อกระเทียม คือเชื้อรา ซึ่งส่วนใหญ่เชื้อราพวกนี้เป็นเชื้อราที่มีพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า จุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมอาจเกิดจากรอยช้ำของกระเทียมส่งผลให้เชื้อราหลากหลายชนิดอาจปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้นๆ โดยมักพบในกระเทียมที่มีการเก็บรักษาไม่เหมาะสมหรือเก็บไว้เป็นเวลานาน

จุดดำในกระเทียม เป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ 

ตามที่มีข้อกังวลว่าเชื้อราที่อยู่บนกระเทียมอาจสร้างสารพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลงานวิจัย พบว่า เชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสารอะฟลาทอกซินซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าพบสารอะฟลาทอกซินบริเวณรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียมสรุปคือ รอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมคือรอยช้ำ จึงส่งผลให้เชื้อราหรือจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้น ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุว่ารอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมนี้มีสารก่อมะเร็ง

เฉือนกระเทียมเฉพาะส่วนที่มีจุดดำแล้วนำมาประกอบอาหารต่อได้หรือไม่?

หากพบรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียมควรทิ้งไปทั้งกลีบ หรืออาจหั่นบริเวณนั้นทิ้งและควรรับประทานกระเทียมที่ปรุงสุกเพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ และแนะนำให้ควรเลือกซื้อกระเทียมที่สดใหม่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ไม่มีลักษณะของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อรา การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในที่แห้งไม่อับชื้นและไม่เก็บไว้นานเกินไป

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ เจ็บคอ แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้

 

สาระน่ารู้ เจ็บคอ แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้

เจ็บคอจากการติดเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ

มีอาการดังนี้

  • คอแดง
  • ทอนซิลบวมแดง

พร้อมอาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่

  • มีไข้ต่ำๆ
  • ไอ
  • น้ำมูกไหล
  • เสียงแหบ
  • อ่อนเพลีย

อาการเจ็บคอจากเชื้อไวรัส สามารถพบได้บ่อยกว่า จากการเจ็บคอเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา ควรพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เพื่อบรรเทาอาการระคายคอ ถ้าไอหรือมีน้ำมูกมาก อาจกินยาแก้ไอหรือยาแก้แพ้ โดยทั่วไปมักหายเองได้ภายใน 7-14 วัน

เจ็บคอจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะ

มีอาการดังนี้

  • คอแดง
  • มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล
  • ทอนซิลบวมแดง
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

รู้หรือไม่ หักข้อนิ้ว บ่อยๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย


รู้หรือไม่ หักข้อนิ้ว บ่อยๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า ในส่วนของข้อนิ้วมือ จากการวิจัยในคน 300 คน ซึ่งชอบหักนิ้วมือมาตลอด 35 ปี พบว่า การหักนิ้วมือเป็นประจำไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพแต่อย่างใด แต่อาจมีผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ข้อนิ้วมือปูดบวมหรือผิดรูป เนื่องจากเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงแรงในการกำมือลดลง เมื่อทำต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ 

เสียงจากการหักข้อนิ้ว เกิดขึ้นได้อย่างไร

ข้อมูลจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ระบุว่า หักนิ้วมือหรือข้อนิ้วมือนั้น เสียงดังก็อกที่ได้ยินเกิดจากการแตกตัวของฟองอากาศจากของเหลวหล่อลื่นที่เรียกว่า น้ำไขข้อ ซึ่งน้ำไขข้อนี้จะทำหน้าที่หล่อลื่น ช่วยให้ข้อต่อสามารถงอ เหยียด หรือเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด และเมื่อเราหักนิ้วมือด้วยแรงกดและความเร็วที่มากกว่าปกติที่เรางอนิ้วมือธรรมดา จะทำให้ความดันภายในน้ำไขข้อลดต่ำลงจนทำให้เกิดฟองขึ้นในน้ำไขข้อ ทำให้แก๊สในน้ำไขข้อไม่ละลายน้ำและแยกตัวมาอยู่ที่ฟองอากาศ ซึ่งเสียงดังนั้นก็มาจากการระเบิดของฟองอากาศในน้ำไขข้อนั่นเองหักข้อนิ้วบ่อย เสี่ยง “นิ้วล็อค” หรือไม่

ทางด้านของ นพ.นรฤทธิ์ ล้วนจำเริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า การหักนิ้วบ่อยๆ ไม่ได้ส่งผลเสียถึงขนาดเป็นนิ้วล็อคได้ แต่อาจทำกระดูกอาจจะโปนใหญ่กว่าคนปกติ เพราะการหักนิ้วบ่อยๆ ทำให้ตัวข้อนิ้วมือมีการบวมมากกว่าคนที่ไม่หักนิ้ว ซึ่งส่งผลแค่ลักษณะภายนอกเท่านั้น

ในส่วนของโรคนิ้วล็อค นั้นเกิดจากปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณนิ้วอักเสบและหนาขึ้น ทำให้เอ็นที่อยู่ภายในไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ มักเกิดกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนาง หรืออาจเป็นพร้อมกันหลายนิ้ว สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากพฤติกรรมการใช้มือต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เช่น การถือหรือแบกของหนักเป็นเวลานาน ใช้อุปกรณ์ที่ต้องออกแรงกดต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์มากเกินไป เป็นต้น

การหักข้อนิ้วมือนั้นไม่พบว่ามีอันตรายต่อกระดูก แต่หากทำพฤติกรรมนี้บ่อยๆ จะทำให้ปลอกหุ้มข้อเสื่อมได้ ส่งผลให้กำลังในการบีบมือลดลง เพราะเอ็นรอบข้อไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ควรหักนิ้วเล่นบ่อย ๆ เนื่องจากอาจส่งผลในระยะยาวได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ถนอม กระเทียม-สมุนไพร ในน้ำมันพืช อาจเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย

 สาระน่ารู้ถนอม กระเทียม-สมุนไพร ในน้ำมันพืช อาจเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย

เคยเห็นการถนอมอาหารโดยใส่กระเทียม และสมุนไพร หรือเครื่องเทศต่างๆ ลงไปในขวดที่บรรจุน้ำมันเอาไว้บ้างไหม หากทำไม่ถูกต้อง อาจเสี่ยงปนเปื้อนแบคทีเรีย กินแล้วอาจป่วยได้

เฟซบุ๊กเพจ เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว ระบุถึงการปนเปื้อนเชื้อสร้างสารโบท็อกซ์ของพืชที่ผ่านการแช่ในไขมันว่า ปกติสารโบท็อกซ์จะเกิดจากการชีวสังเคราะห์ (biosynthesis) จากเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ Clostridium botulinum ที่มีค่อนข้างชุกชุมในดิน และอาศัยอยู่อย่างมีความสุขในส่วนที่สัมผัสพื้นดินโดยตรง เช่น ราก หัว กลีบ หน่อ โคน ฯลฯ แล้วแถมยังสามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ “ไร้ออกซิเจน” (Anaerobic condition) และสภาวะที่มีความเป็นกรดต่ำ (Low acidity) เป็นต้น

ดังนั้นสภาวะที่เอื้อต่อการปนเปื้อนด้วยเชื้อ Clostridium botulinum นั้นจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้

ติดดิน อาหารสดที่นำมาเป็นวัตถุดิบเริ่มต้นมักจะเป็น “ชิ้นส่วนพืชที่สัมผัสกับดินโดยตรง”  เช่น หน่อไม้ หรือ หัวกระเทียม  เป็นต้น แต่มักจะไม่พบในเมนูที่เกิดจากการนำส่วนอื่นของพืชที่ลอยขึ้นจากพื้นดินนะครับ

ไม่เปรี้ยว สภาวะที่ใช้ในการเมนูชนิดนั้นจะต้องเป็น “สภาวะที่ไม่มีกรด / ไม่เกิดการหมักจนเกิดกรด / หรือไม่ทำให้เกิดรสเปรี้ยวขึ้น” ในอาหารชนิดนั้นๆ ดังนั้นสารพัดเมนูการดองเปรี้ยวจึงมักไม่พบการปนเปื้อนของสารโบท็อกซ์นะครับ

สภาวะการเก็บรักษาอาหารนั้นจะต้องปราศจากออกซิเจน 

ซึ่งโดยมาก

ถ้าใช้น้ำเป็นตัวกลาง เช่น การดอง นั้นมักจะกรอกน้ำดองจนเต็ม แล้วปล่อยจนนิ่งไม่มีการขยับ พร้อมกับมีการซีลอย่างแน่นหนา จนทำให้ออกซิเจนที่มีอยู่ถึง 1/5 ของแก๊สทั้งหมดในบรรยากาศนั้นไม่สามารถแทรกตัวลงไปน้ำดองได้ เลยทำให้บรรยากาศในน้ำดองนั้น คือ ประหนึ่งสวรรค์วิมานของเชื้อตัวนี้กันเลยทีเดียว

หรือในกรณีที่ใช้น้ำมันพืชในการแช่ ซึ่งปกติแล้วแก๊สออกซิเจน และแก๊สอื่นๆสามารถละลายในน้ำมันได้ดีกว่าน้ำนะครับ จึงทำให้แก๊สออกซิเจนที่มีอยู่ในน้ำแต่เดิม นั้นถูกน้ำมันที่ห้อมล้อมอยู่แย่งออกซิเจนออกจากอ้อมอกของความชื้นที่ถูกกักขังไว้ในเนื้อของวัตถุดิบ จึงทำให้เจ้าเชื้อ Clostridium botulinum นั้นมีโอกาสที่จะรอดชีวิต และพร้อมจะสร้างสารโบท็อกซ์ออกมาในอาหารได้

ตัวอย่างเมนูยอดฮิตที่อาจพบการปนเปื้อนของ Clostridium botulinum

หน่อไม้อัดปี๊บ

หน่อไม้ติดดิน + ไม่มีรสเปรี้ยวที่เกิดจากการหมัก + ตัวปี๊บที่ใช้อัดก็ทำการปิดผนึกฝาอย่างสนิทจนไม่มีการถ่ายเทของแก๊สออกซิเจนเข้าในระบบ

กระเทียมสับแช่น้ำมันพืช

เนื้อกระเทียมอาศัยอยู่ในกลีบที่เป็นส่วนย่อยของหัวที่ลงดิน + ในตัววัตถุดิบทั้งหมดไม่มีกรด หรือสามารถสร้างกรดได้

น้ำมันพืชสามารถแย่งออกซิเจนออกจากน้ำที่อยู่ในรูปของความชื้นมิหนำซ้ำ น้ำมันพืชหลายๆชนิดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่สามารถจะเขมือบแก๊สออกซิเจนที่ละลายเข้ามาในน้ำมันพืชไปอีกด้วย

วิธีทำกระเทียมแช่น้ำมันอย่างปลอดภัย ลดเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย

หากต้องการทำอย่างปลอดภัย ทางเฟซบุ๊กเพจ เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว มีสูตรที่เค้าแนะนำว่าสามารถใช้งานได้ดี และไม่ยุ่งยากมาก นั่นก็คือ การปรับสภาพความเป็นกรดของกระเทียม (รวมถึงผักเครื่องเทศสดอื่นๆ เช่น Rosemary  โหระพา  กะเพรา ฯลฯ ที่ต้องการทำ Oil infusion ด้วย)

สูตรการปรับสภาพกรดของกระเทียมสับ  

  • กระเทียมสับละเอียด 2 / 3  ถ้วยตวง
  • กรดมะนาวผง 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำดื่ม 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ

  • เทน้ำดื่ม (น้ำสะอาด) 2 ถ้วยตวงในอ่างผสม แล้วเทกรดมะนาวผงลงไปละลายจนกรดละลายหมด 
  • แล้วพอกรดละลายหมดแล้ว ให้นำกระเทียมที่ปอกเปลือก และสับหยาบรอไว้
  • นำกระเทียมสับที่เตรียมไว้ เทลงในสารละลายกรดในข้อ (1) แล้วปิดสนิทด้วยฝา หรือ wrap film ปล่อยแช่ไว้ค้างคืนอย่างต่ำ 24 ชั่วโมง

เมื่อครบกำหนดแช่ 24 ชั่วโมงเรียบร้อยแล้ว ให้กรองเอาเนื้อกระเทียมสับหยาบล้างด้วยน้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง ผึ่งพอแห้ง แล้วจึงจะนำมาแช่ในน้ำมันพืช

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ 7 วิธีป้องกัน ผิวแห้ง ในช่วงหน้าหนาว

สาระน่ารู้ 7 วิธีป้องกัน ผิวแห้ง ในช่วงหน้าหนาว 

หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น

เมื่ออากาศหนาว ใครหลายๆก็คงอยากที่จะอาบน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย แต่นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นได้ เพราะการอาบน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ยิ่งอุณหภูมิสูงมากขึ้นก็ยิ่งเสียความชุ่มชื้นมาก นอกจากนั้นยังทำให้น้ำมันที่อยู่บนผิวถูกขจัดออกไปด้วย ทำให้เกิดผิวแห้งได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น 

บำรุงผิวหลังอาบน้ำ

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ยังไม่ควรเช็ดตัวให้แห้ง ควรเช็ดตัวให้มีความเปียกหมาดๆ แล้วทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วร่างกาย เพราะจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันผิวแห้งกร้านได้ดี

ทาครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์

การทาครีม โลชั่น หรือมอยส์เจอไรเซอร์ ต้องทาเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อบรรเทาอาการผิวที่แห้งกร้าน และฟื้นฟูผิวเพื่อให้กลับมาชุ่มชื้น ทางที่ดีควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนหรือสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำแร่ หรือดอกลาเวนเดอร์ เป็นต้น 

บำรุงผิวก่อนนอน

การบำรุงผิวก่อนนอนเป็นสิ่งสำคัญ หากละเลยการบำรุงนี้ก็สามารถทำให้ผิวแห้งกร้านได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนนอนจึงควรบำรุงผิว โดยเฉพาะจุดที่แห้งง่ายเป็นพิเศษ เช่น มือ เท้า ข้อศอก ซึ่งเป็นจุดที่สูญเสียน้ำได้เร็วกว่าบริเวณอื่นของร่างกาย

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน จะช่วยฟื้นผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้นอิ่มน้ำได้ ทางที่ดีควรดื่มน้ำอุ่น และควรจิบน้ำเป็นระยะ ๆ เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายของเราตลอดเวลา 

การทานผักและผลไม้

การทานผักและผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง สามารถช่วยคืนความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ เพราะนอกจากในผักผลไม้เหล่านี้จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบแล้ว ยังมีสารอาหารสำคัญและวิตามินต่างๆมากมาย เช่น วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งมีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมักพบมากใน มะเขือเทศ แตงกวา แคร์รอต ส้ม แตงโม แอปเปิ้ล เป็นต้น 

หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่ทำให้ระคายเคือง

ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิว เพราะนอกจากฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ทำให้ผิวแห้งอยู่แล้ว หากต้องมาระคายเคืองผิวเพราะเสื้อผ้าที่ใส่อีกคงไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นควรหลีกหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์ หรือชุดที่มีส่วนผสมของสารเคมีในการผลิต แต่ควรหันมาสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน รวมไปถึงผ้าไหมที่สามารถระบายอากาศได้ค่อนข้างดี หากจำเป็นต้องใส่ชุดที่ทำให้ระคายเคืองผิว ก็ควรสวมใส่ชุดที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติก่อน แล้วทับด้วยเสื้อที่ต้องการ ก็จะช่วยทำให้ไม่ระคายเคืองได้

หากใครได้ลองทำตามวิธีเหล่านี้ รับรองเลยว่าอากาศจะเย็นแค่ไหนผิวก็กลับมาชุ่มชื้นได้อย่างแน่นอน หน้าหนาวแบบนี้อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพร่างกายและสุขภาพผิวกันด้วยนะ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

แพทย์เตือน บีบสิวปลายจมูก เสี่ยงติดเชื้อในสมอง

 

แพทย์เตือน บีบสิวปลายจมูก เสี่ยงติดเชื้อในสมอง

การบีบสิวที่ปลายจมูก มีความ เป็นไปได้ ที่จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในสมอง เพราะเพิ่งมีรายงานจากประเทศจีน ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งบีบสิวแล้วติดเชื้อลามเข้าสมอง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังถือว่าพบได้น้อยมาก

สิว มีหลายแบบ มีทั้งแบบติดเชื้อแบคทีเรีย และอื่นๆ บริเวณรอบจมูกมีเยื่อบุต่อเนื่องเข้าไปภายในโพรงจมูก ซึ่งมีหลอดเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก หลอดเลือดพวกนี้เชื่อมต่อไปดวงตา และสมองได้ จึงอาจเสี่ยงติดเชื้อแล้วลามไปที่สมองได้นั่นเอง

ไม่ควรบีบทั้งสิว ฝี และอื่นๆ ที่จมูก

หมอแล็บแพนด้าระบุอีกว่า นอกจากไม่ควรบีบสิวแล้ว ฝีก็เหมือนกัน เพราะฝีคือผิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าเราบีบฝี บางทีหนองอาจไม่ได้ออกมา แต่กลับถูกผลักเข้าไปในเส้นเลือด แล้วหนองมีแต่แบคทีเรีย จึงอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่มันก็เกิดขึ้นสำหรับบางคน จึงขอเตือนไม่ให้บีบสิวและฝีบริเวณจมูก เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

แพทย์เตือน แก๊สหัวเราะ ในลูกโป่ง เสี่ยงประสาทหลอน-กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

 

แพทย์เตือน แก๊สหัวเราะ ในลูกโป่ง เสี่ยงประสาทหลอน-กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

แก๊สหัวเราะ หรือ แก๊สไนตรัสออกไซด์ แพทย์เตือนอย่าสูดดม เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ประสาทหลอน หูแว่ว

ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง หรือ หมอแล็บแพนด้า โพสต์เตือนประชาชนอย่าลองสูดดม “แก๊สหัวเราะ” หรือแก๊สไนตรัสออกไซด์ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่พบได้ในกระป๋องแก๊วบรรจุวิปครีม โดยมีการจำหน่ายแก๊สหัวเราะบรรจุในลูกโป่งเพื่อให้ลูกค้าสูดดม

แก๊สหัวเราะ อันตราย ไม่ควรสูดดม

ผู้ที่สูดดมเอาแก๊สหัวเราะ หรือแก๊สไนตรัสออกไซด์เข้าไปในร่างกาย อาจมีอาการเคลิบเคลิ้ม สงบ เริ่มคิดไม่ออก และหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

อาจทำให้เห็นภาพหลอน 

  • ถ้าสูดดมในพื้นที่ปิดจะทำให้เสี่ยงต่อสลบ หรือขาดออกซิเจนได้
  • ปกติไนตรัสออกไซด์จะออกฤทธิ์ไม่เกิน 5 นาที แล้วมันจะค่อยๆ คลายตัว แต่ปัญหาคือถ้าบางคนใช้ต่อเนื่องใช้เป็นประจำ กล้ามเนื้อหัวใจอาจจะขาดออกซิเจน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นโรคหัวใจเฉียบพลันทันทีก็ได้
  • ถ้าประสาทหลอนหูแว่ว อาจเดินออกไปกลางถนนโดนรถชนหรือเฉี่ยว 
  • บางคนเป็นโรคหลอดเลือดสมองที่มีการใช้ไนตรัสออกไซด์ อาจเกิดอาการทางจิตเวชขึ้นอย่างเฉียบพลัน
  • ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูดดมแก๊สดังกล่าว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากร่างกาย รวมถึงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นหลังเห็นภาพหลอนได้
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

ประโยชน์จาก "ถั่วเขียว" ลดคอเลสเตอรอล-บำรุงหัวใจ

ประโยชน์จาก ถั่วเขียว ลดคอเลสเตอรอล-บำรุงหัวใจ

หากนึกถึง “ถั่วเขียว” ทุกคนนึกถึงอะไรบ้าง บางคนอาจนึกถึงเมนูของหวานง่ายๆ อย่างต้มถั่วเขียวหวานอ่อนๆ บางคนอาจนึกถึงถั่วเขียวเม็ดๆ ที่เอามาปลูกเพื่อให้ได้ถั่วงอก แต่จริงๆ แล้วถั่วเขียวที่หลายๆ คนมองข้าม มีคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายที่ Sanook Health อยากแนะนำให้ลองกินกัน

คุณค่าทางสารอาหารของถั่วเขียว

ถั่วเขียวปริมาณ 100 กรัม มีคุณค่าทางสารอาหารดังนี้

  • โปรตีน 24 กรัม 
  • น้ำตาล 6 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 16.3 กรัม 
  • ธาตุเหล็ก 
  • สารโพลีฟีนอล 
  • แคโรทีน
  • เป็นต้น

ถั่วเขียว และประโยชน์ต่อร่างกาย

ลดคอเลสเตอรอล

ถั่วเขียว มีไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จากงานวิจัยที่ทดลองในหนู ระบุว่า หนูที่กินถั่วเขียวผสมบุก มีระดับไขมันและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีลดลง รวมทั้งมีไขมันดีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถั่วเขียวจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายได้

นอกจากนี้ ถั่วเขียวยังอาจช่วยป้องกันภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ได้ด้วย มาจากผลการทดลองในหนูที่กินถั่วเขียว เสี่ยงไขมันในตับน้อยกว่าหนูที่กินถั่วเหลืองติดต่อกัน 4 สัปดาห์

แต่ทั้งหมดยังเป็นการทดลองในหนู และการทดลองบางชิ้นใช้ส่วนเปลือกถั่วเขียวมาสกัด หรือผสมถั่วเขียวกับพืชชนิดอื่น ดังนั้นควรรอการศึกษาระยะยาวกับกลุ่มคนจำนวนมากเพิ่มเติมต่อไป

ลดเสี่ยงโรคอันตรายจากหัวใจ

มีงานวิจัยบางชิ้น ระบุว่า ถั่วเขียวอาจช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ และยังอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลาย จากการศึกษากับหนูทดลองชิ้นหนึ่ง พบว่า สารโพลีฟีนอลซึ่งสกัดจากถั่วเขียวช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังช่วยยับยั้งไม่ให้เนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้

แต่เนื่องจากยังไม่มีผลการทดลองในคน จึงควรติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยอื่นๆ ในอนาคตต่อไป

การกินถั่วเขียวให้ดีต่อสุขภาพ คือการกินในปริมาณที่เหมาะสม ราว 1 กำมือต่อวัน หลีกเลี่ยงการปรุงถั่วเขียวกับน้ำตาล หรือหากชอบกินถั่วเขียวต้มน้ำตาล เต้าส่วน ถั่วกวน ลูกชุบ หรือน้ำถั่วเขียว ควรบริโภคในปริมาณที่จำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลมากเกินไป

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ ส้วม อันตราย เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคมากที่สุด

สาระน่ารู้ ส้วม อันตราย เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคมากที่สุด

จากผลของการตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และเชื้อ E.coli บนพื้นผิวสัมผัสในห้องส้วมสาธารณะ 12 ประเภท ได้แก่

  • สถานที่ราชการ
  • สถานศึกษา
  • โรงพยาบาล
  • ตลาดสด
  • แหล่งท่องเที่ยว
  • ร้านจำหน่ายอาหาร
  • แหล่งท่องเที่ยว
  • สถานีบริการ
  • น้ำมันเชื้อเพลิง
  • สวนสาธารณะ
  • ห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้า
  • สถานีขนส่งทางบก/ทางอากาศ
  • ส้วมริมทาง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

การสำรวจในปี 2564 พบว่า ส่วนต่างๆ ในห้องน้ำต่อไปนี้ พบการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บป่วยได้ เรียงลำดับจากการพบเชื้อโรคมากที่สุด ไปน้อยที่สุด ดังนี้

ที่รองนั่งโถส้วม
ที่จับสายฉีดชำระ
ก๊อกน้ำอ่างล้างมือ

นอกจากนี้ “ห้องส้วมในวัด” มีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียบนที่รองนั่งโถส้วมสูงที่สุด

วิธีหลีกเลี่ยงเชื้อโรคจากห้องส้วม

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนต่างๆ ในห้องส้วมโดยไม่จำเป็น เช่น กลอนประตูหรือลูกบิดประตู อาจใช้กระดาษทิชชู่วางก่อนจับ
  2. ใช้กระดาษทิชชู่เปียก หรือสเปรย์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาดฝารองนั่งก่อนใช้งาน
  3. หากใช้ส้วมหลุม ไม่ควรใช้น้ำจากที่มีอยู่ในถัง/อ่าง ควรรองน้ำใหม่จากก๊อกเพื่อนำมาราดทำความสะอาด
  4. ระหว่างใช้งานห้องส้วม หลีกเลี่ยงการเอามือมาสัมผัสกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  5. ก่อนออกจากห้องส้วมสาธารณะ ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง และซับมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือแบบใช้แล้วทิ้ง
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาระน่ารู้ 5 อาหารช่วยลด น้ำตาลในเลือด

 

สาระน่ารู้ 5 อาหารช่วยลด น้ำตาลในเลือด

1.ผัก
ผักเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อย มีวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารมาก ทำให้อิ่มทน และใยอาหารยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้เล็ก และลดการดูดซึมกลับของนำดีเป็นการช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรรับประทานผักให้มากขึ้นทุกมื้อ จะเป็นผักสด หรือผักต้มก็ได้

2.ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนมีโปรตีน กรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินดี และไนอาซิน สูงมาก โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 และวิตามิน ดี นั้น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดการอักเสบอีกด้วย

3.อัลมอนด์
นอกจากอัลมอนด์จะให้ความหวานมันอร่อยแล้ว ยังมีโปรตีน แมกนีเซียม ไฟเบอร์ ที่ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำให้ทานอัลมอนด์หนึ่งกำมือเล็กๆ

4.ข้าวโอ๊ด
ข้าวโอ๊ตมีไฟเบอร์สูงมาก ช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งข้าวโอ๊ตยังถูกจัดเป็นคาร์โบไฮเดรทเชิงซ้อน ที่ร่างการสามารถดูดซึมสารอาหารและเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลอย่างเป็นระเบียบจึงทำให้รักษาระดับน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไป

5.มะระขี้นก
มะระขี้นก มีสาร Charantin ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเบาหวาน นอกจากลดน้ำตาลในกระแสเลือดแล้ว เจ้าสาร Charantin ยังช่วยไปกระตุ้นการหลั่งอินซูอินจากตับอ่อนให้มากขึ้น เพื่อมาจัดการกับน้ำตาลที่สูงในกระแสเลือดอีกด้วย

อาหารน้ำตาลสูงที่ควรหลีกเลี่ยง

หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่น้ำตาล
โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมาก เพราะเป็นคาร์โบไฮเดรต 100% เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม เยลลี่ ฯลฯ ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง สารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีน้อยมาก จึงควรหลีกเลี่ง ยกเว้นในกรณีที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีอาการมือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น ตาพร่า ซึ่งมักจะเกิดจากการรับประทานอาหารผิดเวลา หรืออกกำลังกายนานเกินไป ให้ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม - 1 กระป๋อง เพื่อแก้ไขอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ


หลีกเลี่ยงอาหารที่มาจากแป้ง
แป้ง คือ คาร์โบไฮเดรต  ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ฯลฯ อาหารเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณการกินให้เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เช่น แบ่งอาหาร 1 จานออกเป็น 4 ส่วน; ข้าว 1 ส่วน, โปรตีน 1 ส่วน และอีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นผัก หรือหากอยากกินแป้ง ให้เลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มากกว่าข้าวขาว หรือขนมปังขาว เป็นต้น

ผลไม้น้ำตาลสูง

ไม่ใช่ผลไม้ทุกชนิดที่ยิ่งกินจะยิ่งดีต่อร่างกาย เพราะผลไม้บางชนิดน้ำตาลสูงมาก เช่น มะม่วง ทุเรีน ลำไย ขนุน ฯลฯ ดังนั้นควรเลือกผลไม้น้ำตาลต่ำอย่าง ฝรั่ง แอปเปิ้ล แก้วมังกร ฯลฯ จะดีกว่า ฃ

นม
นมทุกชนิด เช่น นมข้นหวาน นมปรุงแต่ง นมเปรี้ยว รวมไปถึงโยเกิร์ตปรุงรสผลไม้ แม้กระทั่งนมวัวปกติก็มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรต รวมถึงสารอาหารอื่นๆ อย่าง โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ คาร์โบไฮเดรตในน้ำนมอยู่ในรูปน้ำตาลแลคโตส มีรสหวานน้อย จึงอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นควรเลือกดื่มนมจากธรรมชาติ 100% เท่านั้น


ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ เบาหวาน สาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณก็ช่วยลดเสี่ยงได้

สาระน่ารู้ เบาหวาน สาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณก็ช่วยลดเสี่ยงได้

อ.นพ.วิทวัส แนววงศ์ แพทย์ประจำศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ต้านเบาหวาน ฮอร์โมน และเมตะบอลิสม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า การปรับพฤติกรรมและการเลือกรับประทานอาหารช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ เพียงทำตามเคล็ดลับง่ายๆ 7 ข้อ ดังนี้

7 เคล็ดลับลดเสี่ยง “เบาหวาน” ได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ลดน้ำหวาน น้ำผลไม้
  • ลดอาหารหวาน ขนมขบเคี้ยว
  • ลดการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงต่างๆ เพราะมีปริมาณน้ำตาลแอบแฝง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม

เมื่ออายุ 35 ปี ควรตรวจเลือดเพื่อคัดกรองเบาหวาน หรือเริ่มตรวจเมื่ออายุตั้งแต่ 25-30 ปี หากมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

ซื้อยากินเอง ต้องระวังเสี่ยงอาจทำให้ดื้อ ยา เพราะไม่ตรงกับอาการ-โรค

 

ซื้อยากินเอง ต้องระวังเสี่ยงอาจทำให้ดื้อ ยา เพราะไม่ตรงกับอาการ-โรค

ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การซื้อยากินเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ หรือเภสัชกรที่เพียงพอ อาจนำไปสู่การซื้อยารักษาผิดอาการ ผิดโรค และเพิ่มความเสี่ยงดื้อยา ที่ส่งผลอันตรายต่อชีวิตในเวลาต่อมาได้

ยาแคปซูลสีต่างๆ สีดำแดง เขียวฟ้า ขาวชมพู ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ จริงๆ แล้วส่วนใหญ่ยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาแก้อักเสบ แต่เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยาต้านจุลชีพ หรือยาปฏิชีวนะ หน้าที่ของยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่คือจัดการกับเชื้อโรค จำพวกเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา เป็นต้น

ยาแก้อักเสบ ไม่ใช่ ยาฆ่าเชื้อ

ยาแก้อักเสบ ช่วยลดอาการอักเสบคืออาการปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีของร่างกายที่ตอบสนองต่อการบาดเจ็บ เช่น หกล้ม ข้อเท้าแพลง เหงือกอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียก็อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ เราใช้ยาแก้อักเสบ เพื่อยับยั้งการเกิดอาการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด ไม่ว่าความเจ็บปวดจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ดังนั้นยาที่ใช้ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) หรือยากลุ่มเอ็นเซด (NSAIDs) เช่น ไอบรูโพเฟน ไดโคลฟีแนค มีเฟนามิกแอซิด เป็นต้น

ยาฆ่าเชื้อ ใช้เพื่อฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ยาส่วนใหญ่ใช้กับเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น การที่คนจำนวนมากเข้าใจว่ายาแก้อักเสบก็คือยาปฏิชีวนะ ทำให้ใช้ยาผิด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพและต่อชีวิตในที่สุด ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะถูกออกแบบมาเพื่อจัดการเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เรามียาที่ใช้เพื่อทำลายอวัยวะสำคัญของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ผนังเซลล์ที่เป็นเกราะป้องกันของมัน ถ้ายาทำลายกระบวนการสร้างเกราะของมันได้ ก็ทำให้เชื้อแบคทีเรียตาย หรือยาบางชนิดใช้เพื่อยับยั้งกระบวนสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย ซึ่งโปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเชื้อ จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตไม่ดี หรือหยุดเจริญเติบโต

เลือกยาฆ่าเฉพาะเชื้ออย่างถูกต้อง ลดเสี่ยงดื้อยา

ปัจจุบันมียาหลากหลายใช้เพื่อกำจัดเชื้อโรค ต่างๆ เช่น ยาฆ่าเชื้อรา เพื่อจัดการกับเชื้อรา ยาฆ่าเชื้อไวรัส ใช้จัดการกับไวรัส สำหรับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ก็มีหลากหลายจึงต้องใช้ให้จำเพาะกับชนิดของแบคทีเรีย และ อวัยวะที่เกิดการติดเชื้อ ดังนั้น ถ้าเรานำยาที่ออกแบบมาเพื่อทำลายอวัยวะแบคทีเรียไปรักษาการติดเชื้อไวรัส ทั้งๆ ที่ไวรัสไม่มีอวัยวะดังกล่าว ก็ไม่เกิดประโยชน์ และไม่ทำให้อาการป่วยหายไป ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันมีสูตรการใช้ยาอะม็อกซีซิลินเพื่อการฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งๆ ที่ยาอะม็อกซีซิลินเป็นยาที่ใช้ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งไวรัสไม่มีอวัยวะดังกล่าว จึงตอบได้ว่า การใช้ยาผิดไม่สามารถจัดการกับเชื้อไวรัส โควิด-19 ได้

เจ็บคอจากหวัด อย่ากินยาฆ่าเชื้อ

ผู้เป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ในกรณีของเชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ เราอาจมียาที่ใช้จัดการกับมันได้ แต่สำหรับหวัดเจ็บคอทั่วไปที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ นั้น เรายังไม่มียารักษา แต่ร่างกายของเราจะรักษาตัวเอง และการให้ยารักษาตามอาการ ซึ่งอาการป่วยจะหายไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียกับอาการหวัดเจ็บคอที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่มีแบคทีเรียให้ฆ่า ส่วนไวรัสที่มีอยู่นั้น ยาที่ใช้ก็ฆ่าไม่ได้ 

ร่างกายดื้อยา เสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา

ในทางกลับกัน ยาที่กินกลับทำให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรามีโอกาสเรียนรู้และกลายเป็นต้นเหตุการดื้อยา แล้วยังสามารถถ่ายทอดความสามารถการดื้อยาให้เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ อีก ซึ่งอาจเป็นแบคทีเรียก่อโรคที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้แบคทีเรียชนิดนั้นดื้อยาได้ เป็นสาเหตุทำให้เราไม่สามารถใช้ยาฆ่าเชื้อตัวเดิมได้ผลอีกต่อไป ต้องเปลี่ยนยา หรือเลวร้ายที่สุดคือ อาจไม่มียารักษาได้ ซึ่งพบได้บ่อยๆ ว่าผู้ป่วย ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไร หรือป่วยจากอุบัติเหตุ มะเร็ง โรคหัวใจ แต่กลับพบว่าหลายครั้งผู้ป่วยเหล่านั้นไม่ได้เสียชีวิตจากโรค ดังกล่าว แต่กลับเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งไม่มียาตัวใดรักษาได้ 

เพราะฉะนั้น ถ้ามีอาการเจ็บป่วย แล้วสงสัยว่าติดเชื้อ ต้องมีการตรวจวินิจฉัยโรค โดยแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าติดเชื้อหรือไม่ และเป็นเชื้อโรค ประเภทใด จะได้ใช้ยากำจัดเชื้อโรคได้ถูกต้องแม่นยำ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ 4 สาเหตุอาการ อับชื้น ในร่มผ้า

 

สาระน่ารู้ 4 สาเหตุอาการ อับชื้น ในร่มผ้า

อาการแพ้

อาจเกิดจากการแพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิด จึงควรเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดจากธรรมชาติ หรือใช้น้ำสะอาดล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ไม่แนะนำให้ทำการสวนล้างช่องคลอด

ชนิดของผ้าและชุดชั้นใน

การเลือกใช้ชุดชั้นในที่ผลิตจากผ้าฝ้ายธรรมชาติแท้ ซึ่งถ่ายเทอากาศได้ดี และลดอาการระคายเคืองได้

การติดเชื้อราที่ผิวหนัง

เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อราในผิวหนังและรูขุมขน พบในบริเวณที่เกิดความอับชื้นได้ง่าย เช่น ซอกขาหนีบ ข้อพับ รักแร้ หรือใต้ราวนม

เชื้อราในช่องคลอด

ความอับชื้นทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในกลุ่มผู้ป่วยบางราย เช่น 

  • ในสตรีตั้งครรภ์ที่มักจะมีตกขาวเพิ่มขึ้นจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ในผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นประจำ ทำให้สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดเปลี่ยนแปลง

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเชื้อราในช่องคลอด หากมีอาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้น แนะนำให้พบแพทย์ เพื่อทำการตรวจ และรักษาอย่างถูกต้อง

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


สาระน่ารู้ อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่พบได้บ่อยในไทย มีดังนี้

สาระน่ารู้ อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่พบได้บ่อยในไทย มีดังนี้

1.อาหารสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน

จะมีการจัดปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มอย่างสมดุล ทั้ง แป้ง โปรตีน ไขมัน ผัก และผลไม้ ข้าวกับแป้งทานได้ 2-3 ส่วนต่อมื้อ จะใช้วัตถุดิบที่มีใยอาหารสูงเพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ ลดการดูดซึมไขมันส่วนเกิน ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ควรหลากหลายทั้งเนื้อขาวและแดง และโปรตีนจากพืชเพื่อเพิ่มใยอาหาร ปริมาณโปรตีนควรมากพอเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินได้ น้ำตาลฟรุกโตสจากผลไม้ควรได้ในปริมาณที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้วิตามินแร่ธาตุสำคัญครบถ้วน และไม่ก่อกวนระดับน้ำตาลในเลือด 

2.อาหารสำหรับผู้เป็นโรคมะเร็ง

ควรทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะโภชนาการที่ดีระหว่างการรักษา ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและการฟื้นตัวของร่างกาย โดยเนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพดีและย่อยง่าย มีพลังงานสูงที่เพียงพอเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และขั้นตอนการปรุงต้องป้องกันการติดเชื้อในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอระหว่างการรักษา หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป และอาหารหมักดอง รวมถึงดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย 

3.อาหารสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ

เกลือและไขมัน (Omega 3 และ 9) คืออาหารที่ช่วยดูแลหัวใจและหลอดเลือดในภาวะที่เส้นเลือดแดงสูญเสียความยืดหยุ่น หรือ มีความเสี่ยงเส้นเลือดอุดตันเพิ่มขึ้น ควรลดเกลือและความเค็มที่เกินความจำเป็นจะช่วยป้องกันหัวใจไม่ให้ทำงานหนักจากภาวะบวมน้ำ เนื้อแดงทานได้ไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ เพราะไขมันอิ่มตัวส่งผลไม่ดีของเส้นเลือดหัวใจและสมอง ควรเลือกทานเนื้อสัตว์สีขาวในสัดส่วนที่พอดีเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงและภูมิคุ้มกัน เพิ่มโปรตีนจากพืช ช่วยลดการดูดซึมไขมันส่วนเกินในลำไส้ ทานเมนูที่มีน้ำมันกรดไขมันอิ่มตัวต่ำในปริมาณที่พอดี มีใยอาหารสูง 20 - 25 กรัมต่อวัน เติมเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ช่วยถนอมเส้นเลือดแดง ลดการใช้ยาลดความดัน 

4.อาหารสำหรับผู้เป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรัง

อาหารควรลดโพแทสเซียม เพื่อรักษาภาวะโภชนาการ ผักต้องลวกเพื่อล้างโพแทสเซียมออกให้ได้มากที่สุด ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องควบคุมเกลือและโพแทสเซียมทุกคน ขึ้นอยู่กับความสามารถของไตแต่ละคนว่าเสียสมดุลการทำงานของโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสเฟตแค่ไหน หากไตเสื่อมระดับ 3 ขึ้นไป ควรเลือกชนิดโปรตีนคุณภาพดีและคำนวณปริมาณโปรตีนตามน้ำหนักตัวให้ถูกต้อง จะช่วยชะลอการเสื่อมของโรคไต ยืดเวลาการรักษาด้วยการฟอกเลือดได้ อาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อมบางคน เช่น อาหารแคลเซียมสูง เครื่องดื่มที่มี Oxalate สูง เป็นต้น 

5.อาหารทางสายให้อาหาร

สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปาก จำเป็นต้องได้รับอาหารทางสาย จะแบ่งออกเป็น 2 สูตรหลักๆ คือ สูตรอาหารสำเร็จรูป (Commercial Formula) และสูตรอาหารปั่นผสม (Blenderized Formula) อาหารสำเร็จรูป จะผลิตโดยบริษัทอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ตามคำแนะนำทางโภชนาการและงานวิจัยสำหรับแต่ละโรค สามารถเก็บสารอาหารได้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ จะมาในรูปแบบผงแล้วนำมาละลายน้ำเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน อาหารที่ปั่นผสมจะมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าว/แป้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และน้ำมัน ปริมาณจะเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วย จากนั้นนำวัตถุดิบที่ชั่งตวงไว้ทั้งหมดมาทำให้สุก ปั่นให้ละเอียด และกรองเอากากออกเพื่อให้ไหลผ่านสายให้อาหารได้โดยไม่อุดตัน

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

วิธีแก้ท้องผูกอย่างได้ผลภายใน 7 วัน

วิธีแก้ท้องผูกอย่างได้ผลภายใน 7 วัน     

1.เลือกกินอาหารที่มีกากใยอาหารสูง

อาหารที่มีกากใยอาหารสูงมีมากมาย แต่กากใยอาหารที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย คือ ผักใบเขียว ดีกว่ากินพืชอย่างมัน เผือก หรือข้าวที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ผักใบเขียวมีกากใยอาหารสูง และคาร์โบไฮเดรตต่ำ นอกจากนี้ผักใบเขียวยังมีแมกนีเซียมสูง ที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดี

หากไม่สามารถหาผักใบเขียวกินได้ อาจลองเลือกกินถั่วเปลือกแข็งต่างๆ อย่าง อัลมอนด์ ถั่วลิสง พิสตาชิโอ แมคคาเดเมีย (ถั่วเปลือกแข็งจะมีกากใยอาหารมากกว่าถั่วเปลือกอ่อน เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ที่จะมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า) นอกจากนี้ในถั่วเปลือกแข็งยังมีไขมันดี ที่จะช่วยลดปริมาณไขมันเลวในร่างกาย ช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต

2.ดื่มน้ำ

ผู้ชายควรดื่มน้ำมากกว่า 3-3.5 ลิตรต่อวัน ในขณะที่ผู้หญิงควรดื่มน้ำมากกว่า 2.5-3 ลิตรต่อวัน น้ำจะเป็นตัวพาเอากากใยอาหารที่เราได้จากการกินผักใบเขียวขับถ่ายออกไป เพราะหากมีกากใยอาหารแต่ไม่มีน้ำมากพอ อาจทำให้ท้องผูก ถ่ายออกมาได้ไม่สะดวก

3.เพิ่มแบคทีเรียชั้นดีในลำไส้

แบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายอยู่ในนมเปรี้ยว โยเกิร์ต แต่ควรเลือกที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 5 กรัม หลีกเลี่ยงที่ใส่ผลไม้หรืออะไรที่มีน้ำตาลสูง นอกจากนี้ยังมี กิมจิ นัตโตะ ซาวเคราท์ แตงกวาดอง คอมบูชา อาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้ได้ ช่วยย่อยสลายอุจจาระซึ่งทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ผักใบเขียวยังเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์ ทำให้โพรไบโอติกส์มีจำนวนมากขึ้น 

4.เดินให้มากขึ้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเดินช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นได้ ควรเดินอย่างน้อยวันละ 8,000 ก้าว เมื่อร่างกายได้ขยับ ได้ลุกขึ้นเดิม ลำไส้ก็ได้ทำงานไปด้วย และแน่นอนว่ารวมถึงลำไส้ใหญ่ และระบบขับถ่ายด้วยเช่นกัน

5.นอนตรงเวลา

หากเราเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลา (แนะนำให้นอนราว 22.00 น. ตื่น 6.00 น. หรือ 5.00 น.) หากร่างกายของเราคุ้นชินกับการนอนและตื่นตรงเวลาทุกวัน ระบบต่างๆ ในร่างกายก็จะทำงานตรงเวลาทุกวันเช่นกัน รวมถึงระบบขับถ่ายด้วย

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วิธีรักษา ส้นเท้าหนา ด้าน แตก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน

 วิธีรักษา ส้นเท้าหนา ด้าน แตก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน 

สาเหตุของส้นเท้าหนา ส้นเท้าแตก

พญ. สุราศี อิ่มใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนัง โรงพยาบาลผิวหนัง อโศก ระบุว่า ส้นเท้าหนา ส้นเท้าแตก เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • อากาศที่แห้งหรือหนาวเย็น 
  • ภาวะร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อย 
  • อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นที่ร้อนจนเกินไป 
  • แช่อยู่ในน้ำร้อนเป็นเวลานานหรือบ่อยเกินไป 
  • ใช้สบู่ที่ทำให้ผิวแห้ง 
  • ไม่ทาครีมบำรุงที่ทำให้เท้ามีความชุ่มชื้น 
  • การขัดเท้า 
  • การใส่รองเท้าที่ไม่ถนอมเท้าหรือเปิดผิวเท้ามากเกินไป 
  • มีภาวะอ้วน มีน้ำหนักตัวมาก 
  • ป่วยเป็นโรคเบาหวาน 

เป็นต้น

อันตรายจากส้นเท้าหนา ส้นเท้าแตก

หากมีอาการบวมแดงและเจ็บปวดบริเวณส้นเท้าแตกเป็นอย่างมาก อาจเสี่ยงเป็นแผล และหากดูแลแผลไม่ดี อาจเสี่ยงมีหนอง หากอาการไม่บรรเทาแม้พยายามรักษาด้วยวิธีต่างๆ ด้วยตนเองแล้ว ควรไปพบแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางที่รักษาเท้า เพื่อตรวจหาการติดเชื้อและรีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้มีภาวะอ้วน หากปล่อยไว้จนเป็นแผลลึกและไม่ได้รับการรักษา อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงได้ ควรรีบพบแพทย์เช่นกัน

วิธีรักษา "ส้นเท้าด้าน-ส้นเท้าแตก" ด้วยตนเอง

ใช้ครีมบำรุง ยา หรือผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว สำหรับส้นเท้าแตก

เลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมที่ช่วยให้ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น

  • ไดเมทิโคน (Dimethicone) จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นกักเก็บน้ำให้แก่ผิว ลดการเกิดหนังที่หนาและด้านจากภาวะผิวแห้งที่จะทำให้เกิดผิวส้นเท้าแตกตามมา
  • ครีมที่มีส่วนผสมของ น้ำมัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และป้องกันผิวแห้งแตก โดยสามารถใช้ทาได้วันละหลายๆ ครั้ง ใช้ได้ผลดีที่สุดเมื่อทาหลังอาบน้ำ
  • ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum Jelly) เป็นเจลเหลวที่ใช้ทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ฟื้นฟูผิวบริเวณที่เป็นส้นเท้าแตก ทาก่อนนอนแล้วสวมถุงเท้าทับ ให้ผิวบริเวณส้นเท้าที่แตกได้ดูดซับความชุ่มชื้นจากเจลไปตลอดคืนในระหว่างที่นอน
  • ดื่มน้ำให้มากเพียงพอใจแต่ละวัน ผู้ชายดื่มน้ำวันละ 3-3.5 ลิตร ผู้หญิงดื่มน้ำวันละ 2-2.5 ลิตร การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นกับผิวโดยรวม รวมถึงส้นเท้าได้
  • เลือกใช้สบู่ที่ช่วยถนอมผิว มีสารที่ให้การบำรุงผิว (เช่น มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ วิตามินอี ฯลฯ) ไม่ก่ออาการแพ้ ไม่ระคายเคืองผิว และไม่ทำให้ผิวแห้ง ไม่ใช้สบู่ที่มีสารเคมีเข้มข้นหรือที่มีส่วนผสมทำให้ผิวแห้ง
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด หรือร้อนจัด ไม่แช่เท้าในน้ำเป็นเวลานาน และไม่อาบน้ำนานจนเกินไป
  • เลือกสวมรองเท้าที่มีพื้นรองเท้านุ่ม หากใครมีน้ำหนักตัวมาก อาจลองเลือกเป็นพื้นยางหรือพื้นที่มีวัสดุช่วยผ่อนน้ำหนักและแรงกดที่เท้า หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะหรือรองเท้าพื้นแข็ง
  • ไม่สวมรองเท้าที่คับแน่นจนเกินไป
  • สำรวจสุขภาพเท้าเป็นประจำ อย่าปล่อยให้แห้ง แตก ด้าน จนเป็นแผล หากเป็นแผลควรรีบรักษา

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ กิน น้ำตาล มากเกินไป เสี่ยง แก่เร็ว

  

สาระน่ารู้ กิน น้ำตาล มากเกินไป เสี่ยง แก่เร็ว

นอกจากน้ำตาลที่มากเกินไป จะเป็นศัตรูกับร่างกายในแง่ของการเพิ่มไขมันหนารอบเอว ต้นขา สะโพก แล้วยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และโรคอันตรายอื่นๆ แล้ว น้ำตาลยังเป็นศัตรูกับความงาม เพราะทำให้เราดูแก่เร็วกว่าเดิมด้วยจริงหรือ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ระบุว่า น้ำตาลเป็นส่วนผสมที่นิยมนำมาใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติหวาน ถูกปาก แต่การบริโภคน้ำตาลปริมาณมาก ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดริ้วรอยและภาวะแก่ก่อนวัยอีกด้วย 

โดยน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปจะถูกย่อยเป็นหน่วยเล็กๆ และดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว น้ำตาลในเลือดเหล่านี้สามารถจับกับโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจน เกิดเป็นสารประกอบที่มีชื่อว่า Advanced glycation end products หรือ AGEs ซึ่งส่งผลให้โปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง เกิดการหย่อนคล้อย 

โดยทั่วไปแล้ว เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นการสะสมของ AGEs บริเวณผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่การบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าวให้เกิดได้เร็วและมากขึ้น ทำให้เกิดริ้วรอยและแก่ก่อนวัย

ดังนั้น ควรบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม โดยองค์การอนามัยโลกได้แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคคือ ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

วิธีลดการบริโภคน้ำตาลอย่างง่ายๆ

ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเป็นส่วนผสมจำนวนมาก เช่น ชา กาแฟที่ใส่น้ำตาล ช็อกโกแลต โกโก้ นมปั่น ชานม ชานมไข่มุก น้ำหวานต่างๆ รวมถึงน้ำผลไม้ และน้ำอัดลมด้วย

ลดการบริโภคขนมจุบจิบ ขนมอบกรอบที่มีน้ำตาลสูงต่างๆ

บริโภคผักผลไม้ให้มากขึ้น แต่ระมัดระวังผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ไม่ควรกินมากเกินไป เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน เงาะ ขนุน น้อยหน่า ลำไย เป็นต้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วิธีเติมความสดชื่นเมื่อรู้สึกเหนื่อย-อ่อนล้า

วิธีเติมความสดชื่นเมื่อรู้สึกเหนื่อย-อ่อนล้า

เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น

ด้วยการที่คนเราต้องบริหารเวลาเพื่อทำให้ตัวเองและครอบครัวเติบโตก้าวหน้า บางครั้งการหาเวลาออกกำลังกายจึงทำได้ยาก การเคลื่อนไหวจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่ออารมณ์ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูพลังงาน นี่คือเรื่องจริง และจากที่เราได้พูดคุยกับผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกในการสำรวจด้านความเฉื่อยของสุขภาพ ผู้บริโภค 47% บอกว่า การออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นจริงๆ

เมื่อไม่สามารถเข้ายิมหรือร่วมกิจกรรมออกกำลังกายได้ หลายคนพบว่าตัวเองไม่มีกลุ่มเพื่อนที่คอยกระตุ้นให้ออกกำลังกาย คอร์สออกกำลังกายออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโยคะไปจนถึงพิลาทิส และการฝึกยืดเหยียดกล้ามเนื้อไปจนถึงแอโรบิคมีอยู่มากมาย และหลายคอร์สไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังมีการเดินประจำวัน การขี่จักรยาน หรือการวิ่งก่อนที่ครอบครัวจะตื่น ซึ่งจะช่วยให้คุณอารมณ์ดี พร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ตลอดทั้งวัน 

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

อาหารคือแหล่งพลังงาน และช่วยให้ร่างกายของเรามีเรี่ยวแรงทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่ การวิจัยพบว่า ในระหว่างการระบาด ยอดขายของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้คนสรรหาอาหารที่หาง่ายและสะดวกในการรับประทาน จากที่ก่อนหน้านี้เคยพยายามหลีกเลี่ยง สิ่งนี้สอดคล้องกับผลสำรวจด้านความเฉื่อยของสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเผยให้เห็นว่า เหตุผลหลักที่ผู้บริโภครับประทานอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง มีสาเหตุจากการกินจุบกินจิบเมื่อรู้สึกกังวลและเครียด บวกกับขาดแรงบันดาลใจในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แม้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายพอสมควร แต่เราก็ควรรับประทานอาหารที่มีโภชนาการสมดุลและให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันและส่งเสริมพร้อมกับรักษาสุขภาพที่ดี อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นในการทำงาน ผสมอาหารของคุณด้วย เมนูปั่นเพื่อสุขภาพ ที่เพิ่มโปรตีน ซึ่งเป็นเมนูที่อร่อย ดีต่อสุขภาพ และยังเพิ่มพลังงานได้ดีอีกด้วย และหากต้องการให้คนในครอบครัวได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ไปพร้อมกับคุณ เราขอแนะนำให้ทำเมนูอาหารที่สร้างสรรค์ทั้งอร่อยและมีสารอาหารครบถ้วนให้พวกเขารับประทานเป็นประจำ

นอนหลับสนิท

การนอนหลับ คือ สิ่งสำคัญในการเติมพลังงานให้กับตัวคุณเอง ในเวลาที่รู้สึกเครียด เรามักจะหลับไม่ค่อยลง การจัดบริเวณที่นอน คือ กุญแจสำคัญในการนอนหลับสนิท เริ่มจากห้องนอนที่มืดสงบปราศจากสิ่งรบกวน ใช้ห้องนอนเพื่อการนอนหลับเท่านั้นถ้าทำได้ เพื่อไม่ให้คุณรู้สึกอยากจะทำงานหรืองานอดิเรกอื่นในห้องนอน พักจากการท่องโลกดิจิตอล และเมื่อคุณเข้านอน ให้วางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่อื่น นอกจากนี้ อีกเคล็ดลับหนึ่ง คือ การทำกิจกรรมก่อนนอนเช่นเดียวกับที่พ่อแม่หลายคนทำให้ลูกน้อย โดยคุณอาจจะอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือดีๆ ดื่มชาสมุนไพรสักแก้ว จากนั้นค่อยดับไฟ

ติดต่อพูดคุยกับผู้อื่น

แม้คุณอาจจะอยู่กับครอบครัวและเจอเพื่อนร่วมงานผ่านวีดีโอ แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับการพูดคุยกับเพื่อนหรือญาติๆ ที่อยู่ห่างไกล ได้หัวเราะและคุยเรื่อยเปื่อย การได้ติดต่อพูดคุยกับผู้อื่น ช่วยส่งเสริมสุขภาพของเรา โดยจะช่วยให้เราใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับโทรศัพท์ ส่งข้อความ พูดคุย หรือเขียนจดหมายถึงเพื่อนเก่าที่โรงเรียน การติดต่อพูดคุยกับคนอื่นจะช่วยให้คุณรู้สึกดี ทำให้สุขภาพใจรวมถึงสุขภาพกายดีขึ้น และช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าอีกด้วย

การสนับสนุนจากคนรอบข้างส่งผลดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกายของเรา คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง เพื่อนที่ยิม หรือเพื่อนที่ออกกำลังกายด้วยกัน รวมถึงผู้ที่สนใจในการออกกำลังกายรอบตัวที่คอยสนับสนุน จะช่วยกระตุ้นให้เราเดินหน้าสู่เป้าหมายเพื่อสุขภาพที่ดีได้ นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยียังช่วยให้เราสามารถสร้างชุมชนเสมือนจริงสำหรับการออกกำลังกายขึ้นมาได้ นอกเหนือจากกลุ่มออกกำลังกายในโลกความจริง แอปเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายมากมายในปัจจุบันมีคุณสมบัติที่ช่วยให้เราติดต่อพูดคุยกับผู้คนหรือชุมชนที่มีความสนใจเหมือนกันเพื่อแลกเปลี่ยนเคล็ดลับและหาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายเป็นกิจวัตร

จัดหาเวลาส่วนตัว

ในอีกด้านหนึ่ง ซาแมนธาเสริมว่า ด้วยความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน หลายคนจึงอยากอยู่ตามลำพังบ้าง การหาเวลาส่วนตัว แม้จะแค่ 30 นาที จะส่งผลดีต่ออารมณ์และพลังงาน เดินเข้าป่าหรือสำรวจหาเพื่อนบ้านใหม่ หาเวลาเข้าไปอยู่ในห้อง ปิดไฟ และพักหายใจ หรือคว้าหนังสือสักเล่ม และหาที่เงียบสงบเพื่อพักกายพักใจ ในช่วงเวลาเช่นนี้ คุณต้องการเวลาพักผ่อน เติมพลัง หรือผ่อนคลายลงบ้าง

ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก คุณจำเป็นต้องผ่อนหนักผ่อนเบากับตัวเองบ้าง วิธีที่ดีที่สุดในการเติมเต็มพลังงานเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า คือ การให้ความสำคัญกับการดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย หาเวลาอยู่ลำพัง หรือหัวเราะเฮฮากับเพื่อน ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับการเติมพลังและเพิ่มพลังงาน

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เช็คตัวเองก่อน 8 สัญญาณเตือนอันตรายที่อาจเสี่ยง ไบโพลาร์ ได้

 

เช็คตัวเองก่อน 8 สัญญาณเตือนอันตรายที่อาจเสี่ยง ไบโพลาร์ ได้

ในสังคมไทยสามารถพบผู้ป่วยทางจิตได้มากขึ้น เนื่องจากความเครียดสะสม รวมไปถึงกรรมพันธุ์ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของโรคทางจิตหลายๆ โรค แต่สำหรับ "ไบโพลาร์" อาจยังมีหลายคนที่เข้าใจอาการของโรคนี้ผิดไปจากความเป็นจริงอยู่บ้าง Sanook Health จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ และอาการที่สังเกตได้คร่าวๆ ด้วยตัวเองมาฝากกัน

โรคอารมณ์แปรปรวน (bipolar disorder) คืออะไร

โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) โดยอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลาย ๆ เดือนก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเองอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ

อาการที่อาจพบได้ในผู้ป่วยไบโพลาร์

ข้อมูลจาก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ จะมีช่วงที่อารมณ์ผิดปกติ โดยมีช่วงซึมเศร้า (depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดี หรือคึกคักมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) ซึ่งขออธิบายแยกเป็นช่วงๆ คือช่วงอารมณ์ดีมากกว่าปกติ หรือเมเนีย (mania) ผู้ป่วยจะมีลักษณะ ดังต่อไปนี้

  1. อารมณ์เปลี่ยนแปลง ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ร่าเริงมีความสุข เบิกบานใจ หรือหงุดหงิดง่ายก็ได้ ซึ่งญาติใกล้ชิดของผู้ป่วยมักจะสังเกตได้ว่าอารมณ์ของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนผิดปกติ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นติดต่อกันทุกวันอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  2. มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีความเชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถมาก เกินไป เชื่อว่าตนเองสำคัญ และยิ่งใหญ่ หรืออาจมีเนื้อหาของความคิดผิดปกติมาก ถึงขั้นว่าตนเองสำคัญ หรือยิ่งใหญ่ เช่น เชื่อว่าตนเองมีอำนาจมาก หรือมีพลังอำนาจพิเศษ เป็นต้น
  3. การนอนผิดปกติไป ผู้ป่วยจะมีความต้องการในการนอนลดลง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่านอนแค่ 3 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เป็นต้น
  4. ความคิดแล่นเร็ว (flight of idea) ผู้ป่วยจะคิดค่อนข้างเร็ว บางครั้งคิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมๆ กัน คิดเรื่องหนึ่งไม่ทันจบก็จะคิดเรื่องอื่นทันที บางครั้งอาจแสดงออกมาในรูปของการมีโครงการต่างๆ มากมาย
  5. พูดเร็วขึ้น เนื่องจากความคิดของผู้ป่วยแล่นเร็ว จึงส่งผลต่อคำพูด ที่แสดงออกมาให้เห็น ผู้ป่วยมักจะพูดเร็ว และขัดจังหวะได้ยาก ยิ่งถ้าอาการรุนแรงคำพูดจะดัง และเร็วขึ้นอย่างมากจนบางครั้งยากต่อการเข้าใจ
  6. วอกแวกง่าย ผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน และความสนใจมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้าภายนอกที่เข้ามากระตุ้นได้ง่าย
  7. การเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยบางรายจะทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลา ทั้งที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือที่บ้าน มีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นชัดเจน ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้
  8. ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ผู้ป่วยเมเนียมักจะแสดงพฤติกรรมที่เกิดจากการยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เช่น ดื่มสุรามากๆ โทรศัพท์ทางไกลมากๆ เล่นการพนัน หรือเสี่ยงโชคอย่างมาก ใช้เงินมากขึ้น ได้

สำหรับอาการไฮโปเมเนียนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการข้างต้นเช่นเดียวกับเมเนีย แต่จะแตกต่างกับเมเนียคือ อาการไฮโปเมเนียจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ หรือการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก และผู้ป่วยต้องมีอาการอย่างน้อยที่สุดนาน 4 วัน

หากพบเห็นบุตรหลาน หรือบุคคลในครอบครัวมีอาการใกล้เคียงดังกล่าว ควรพบจิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สายcoffee รู้หรือมั้ย ? ดื่มกาแฟมากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้

 

สายcoffee รู้หรือมั้ย ? ดื่มกาแฟมากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้

หลายคนที่เป็นคอกาแฟอาจชื่นชอบในรสชาติ และการได้ตื่นตัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากเครื่องดื่มรสขมแต่กลิ่นหอมกรุ่นอุ่นๆ ทุกเช้า แต่การดื่มกาแฟมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้

งานวิจัยที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Nutritional Neuroscience 

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 ระบุว่า เราไม่ควรดื่มกาแฟมากกว่า 5-6 แก้วต่อวัน เพราะอาจทำร้ายสมองได้ โดยรวบรวมข้อมูลจากคนราว 400,000 คนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ (ทั้งแบบมีคาเฟอีน และแบบดีแคฟ ไม่มีคาเฟอีน) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็นหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ดื่มแก้วเดียว ไปจนถึงกลุ่มที่ดื่มมากถึง 6 แก้วต่อวัน และนำคนประมาณ 18,000 คนมาสแกนสมองผ่านเครื่อง MRI

หลังจากติดตามข้อมูลอยู่นาน 11 ปี นักวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ดื่มกาแฟน้อยกว่า (1-2 แก้วต่อวัน) แล้ว คนที่ดื่มกาแฟหนัก (มากกว่า 6 แก้วต่อวัน) มีความเสี่ยงที่จะมีขนาดสมองเล็กลงมากกว่า โดยเฉพาะสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รักษาความทรงจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว

คนที่ดื่มกาแฟหนักยังมีความเสี่ยงต่อการถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ดื่มกาแฟเพียงเล็กน้อยถึง 53% โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นกาแฟแบบมีคาเฟอีน หรือไม่มีคาเฟอัน (ดีแคฟ) ก็ตาม

แม้ว่านักวิจัยจะยังไม่พบหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใดกาแฟถึงเข้าไปทำลายสมองส่วนของความจำได้ แต่นักวิจัยชี้ว่า กาแฟอาจมีแคเฟสทอล (cafestol) หรือโมเลกุลในกาแฟที่อาจส่งผลให้คอเลสเตอรอลในร่างกายสูงขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่ได้แนะนำให้หยุดดื่มกาแฟอย่างเด็ดขาดไปเลย แต่ควรลดปริมาณลงโดยดื่มไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน และไม่ควรดื่มหลัง 16.00-17.00 น. เพื่อไม่ให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟรบกวนการนอนหลับ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

พูดคนเดียวไม่ได้เป็นบ้า เพราะสาเหตุอะไร

 

พูดคนเดียวไม่ได้เป็นบ้า เพราะสาเหตุอะไร

เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีอาการ พูดคนเดียว ไม่ว่าจะเวลาทำงาน เราอาจจะพูดขึ้นมาว่าต้องทำอะไร ทำอะไรไปแล้ว หรือเวลาไปเที่ยวก็จะพูดมาว่าต้องไปทางนี้ สายนี้ ซึ่งมันอาจจะดูตลก บางคนก็โดนทักว่าคุยกับใคร

ทำไมพูดคนเดียวถึงมีแนวโน้มเป็นคนฉลาด?

  • คนพูดคนเดียวจะมีการกระตุ้นความจำ ทำให้ความคิดชัดขึ้น จดจ่อกับสิ่งต่างๆได้มากขึ้น 
  • เคยมีการทดลองโดยให้อาสาสมัครเข้ามาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง แล้วอาสาต้องจำสิ่งของที่พวกเขาต้องไปหยิบมา ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า คนที่พูดกับตัวเองระหว่างหยิบของหรือหาของ สามารถหาของได้เร็วกว่าคนที่เงียบ
  • จากผลจากทดลองนี้ก็ได้มีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการพูดคนเดียวนั้นมีข้อดีและช่วยพัฒนาให้เรากลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้นอีกด้วย

การพูดกับตัวเองมีข้อดียังไง

ช่วยกระตุ้นความจำ

เมื่อได้พูดกับตัวเอง กลไกทางประสาทสัมผัสของเราจะเปิดใช้งาน ทำให้เราจำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น ทำให้เรานึกภาพออกมาได้ 

ทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น

การที่เราพูดกับตัวเอง โดยเฉพาะถ้าได้เปล่งเสียงออกมา จะช่วยให้เราจดจำได้มากขึ้น สมองจะมีภาพขึ้นมา แล้วเมื่อมีภาพขึ้นมาเราจะมีสมาธิกับสิ่งที่เรากำลังจะทำมากขึ้น 

ช่วยจัดลำดับความคิด

บางครั้งที่เจอปัญหา เจอเรื่องที่ทำให้เราโกรธ เสียใจ การพูดกับตัวเองช่วยให้เราจัดลำดับความคิด ความรู้สึกออกมาได้ดีมากกว่า เราจะเห็นภาพชัดขึ้น หงุดหงิดน้อยลง เพราะมันคือการได้ระบาย ได้พูดออกมา 

การพูดกับตัวเองมักจะพบอยู่ 3 เรื่องหลักๆ คือ 

  • ให้กำลังใจตัวเอง
  • อธิบายหรือพูดถึงสิ่งที่เจอ
  • พูดสิ่งที่เป็นลบต่อตัวเอง

โดย 3 อย่างนี้เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่เรามักพูดกับตัวเอง เราไม่ได้มีปัญหาทางจิตแต่อย่างใด แต่ขอให้ระวังการพูดลบกับตัวเอง ว่าตัวเอง ซึ่งปกติคนเราชอบพูดแย่ๆ กับตัวเองเกินกว่าความเป็นจริง ตรงนี้หากมากไปก็อาจจะส่งผลเสียทำให้เรารู้สึกแย่และอันนี้แหละที่จะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตได้ รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมพูดกับตัวเองบ่อยๆ จะได้พัฒนาตัวเองไปในตัว

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

4 วิธีแก้คอเคล็ด เมื่อนอนตกหมอน

4 วิธีแก้คอเคล็ด เมื่อนอนตกหมอน

  1. ประคบร้อน ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดพอหมาดๆ แล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 15 ถึง 20 นาที 
  2. ยืดกล้ามเนื้อด้านที่หดรั้ง สังเกตว่าขณะเคลื่อนไหวคอนั้น รู้สึกปวดตึงหรือเจ็บที่ด้านไหน ให้ใช้มือช่วยดันศีรษะในทิศทางนั้นจนกระทั่งรู้สึกตึงมากแต่ไม่เจ็บ ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที คลายแรงที่ดันมือลง แล้วทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง จนเริ่มรู้สึกว่าอาการเกร็งและตึงที่กล้ามเนื้อนั้นทุเลาลง 
  3. นวดเบาๆ ใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกตึง หรือ ปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณที่ทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ บีบและคลายเป็นจังหวะ การประคบร้อนก่อนการนวด จะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น 
  4. เลี่ยงการหันศีรษะบ่อย อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอและให้อยู่นิ่งๆ โดยการนอนราบชั่วคราวเพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก

ข้อควรระวัง

ไม่ควร กด บีบ หรือ ยืด กล้ามเนื้อจนรู้สึกเจ็บเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น และไม่ควรให้ผู้อื่นดัดคอหรือจับเส้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้อักเสบ และเรื้อรังได้ ถ้ายังไม่หายค่อยๆ ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อ หรือปรึกษานักกายภาพบำบัด

หากมีปัญหาการนอนตกหมอนบ่อยๆ ควรสังเกตตัวเองว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร 

  • ปรับท่านอนให้เหมาะสม โดยนอนหงายให้หูกับหัวไหล่อยู่ในแนวขนานกัน หน้าไม่แหงนเกินไปและไม่ก้มจนเกินไป หากนอนตะแคงก็ควรนอนได้แนวเป็นกระดูกตรงเช่นเดียวกัน
  • เลือกหมอนที่มีความนุ่มปานกลาง หากนุ่มเกินไปเวลาพลิกตัวจะทำให้กระดูกเกิดแรงสั่นมากขึ้น และหมอนที่พอดีกับศีรษะของเรานั้นต้องทำให้ระดับคางไม่เงยหรือก้มต่ำเกินไป ความยาวของหมอนควรถึงต้นหัวไหล่ป้องกันการคอตก สามารถเช็กระดับความพอดีโดยนำกระจกมาตั้งด้านข้างเตียงหรือให้คนถ่ายรูปด้านข้างเวลาเราหนุนหมอน
  • ไม่นอนคว่ำตอนดูหนังหรืออ่านหนังสือหรือนอนตะแคงข้างมีอาการปวดบ่อยๆ เพราะสามารถติดเป็นนิสัยทำให้บาดเจ็บซ้ำๆ ได้
  • ปกติอาการปวดคอมักจะหายภายใน 1-2 วัน ถ้าอาการรุนแรงขึ้น หรือยังไม่หายสนิทให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้อง
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

รู้ก่อนเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพหากติดมือถือมากเกินไป

 

รู้ก่อนเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพหากติดมือถือมากเกินไป

1.อาการที่เกี่ยวกับดวงตา

แสงที่มนุษย์ทุกคนสามารถมองเห็นได้ในช่วงแสงสีขาว ซึ่งแสงขาวแบ่งได้ 7 สี (สีแดง ม่วง ส้ม เหลือง น้ำเงิน/ฟ้า คราม และเขียว) ถูกพบได้ทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หลอดไฟ แต่ที่ส่งผลกระทบถึงคนส่วนใหญ่มากที่สุด คือ แสงสีฟ้า โดยแสงสีฟ้าผสมอยู่ในช่วงสีน้ำเงินกับคราม และยังเป็นแสงที่มีพลังงานสูงใกล้เคียงรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) อีกด้วย ทำให้เป็นหนึ่งในแสงที่สามารถเข้าไปสู่จอประสาทตาได้อย่างง่าย

เวลาที่เราใช้พวกหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เราจำเป็นต้องเพ่งสายตาจ้องหน้าจอที่มีแสงจ้าเหล่านั้น หากจ้องนานเกินไป ก็อาจเกิดผลเสียต่อดวงตาได้หลายทาง เช่น อาการสายตาล้า ปวดตา ตาแห้ง ตามัว สำหรับเด็กเล็กอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาสั้นได้ และอาจจะทำให้เซลล์ในดวงตาตายได้ ซึ่งหนักถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นเลยทีเดียว ถ้าเราไม่ดูแลรักษาและป้องกันดวงตาของเราให้ดี

โดยอันตรายจากการมองแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์นั้น สามารถทำลายจอประสาทตา (เรติน่า) อาจเริ่มส่งสัญญาณบางอย่างมาเตือน อย่างอาการเจ็บตา ระคายเคือง ตาแห้ง บางครั้งสายตาพร่ามัว ปวดกระบอกตาอยู่บ่อยๆ และอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย อาจทำให้เกิดโรคทางสายตา เช่น Computer Vision Syndrome โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก โรควุ้นสายตาเสื่อม หรือโรคสายตาสั้นเทียม

2.อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อส่วนต่างๆ

ลักษณะก็จะเหมือนกับคนทำงานออฟฟิศที่โดนออฟฟิศซินโดรมเล่นงาน ซึ่งในกรณีนั้นมันเลี่ยงยากเพราะเป็นการทำงาน แต่การติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเทคโนโลยีอื่นใดแบบที่หมกมุ่นอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ทำอะไรอื่น ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่ใกล้เคียงออฟฟิศซินโดรมได้เหมือนกัน เกิดปัญหากับกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ โรคทางกล้ามเนื้อกระดูก ที่เกิดจากการนั่งท่าที่ไม่เหมาะสมก็ได้เช่นกัน

ที่มักจะพบประจำก็เช่น นิ้วล็อก ปวดคอ ปวดหลัง ปวดบ่า ปวดไหล่ อาจจะรวมไปถึงความเสื่อมกระดูก ข้อต่อกระดูก หรือหมอนรองกระดูกบริเวณคอ อาการ Cellphone Elbow คือ อาการปวดชา หรือเหน็บชาบริเวณปลายแขนและมือ เนื่องจากการถือสมาร์ทโฟนด้วยท่าทางที่งอแขนเป็นมุมแคบกว่า 90 องศานานเกินไป

หรืออาจจะเป็นโรค RSI (Repetitive Strain Injury) ที่ทำให้เรามีอาการตึงหรือเจ็บข้อต่างๆ ได้แก่ เจ็บปวดบริเวณข้อมือ นิ้วมือ มือ แขน ข้อศอก มีอาการมือชาหรืออ่อนแรง มือไม่สามารถทำงานประสานกัน ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการที่เราใช้งานข้อมือนานๆ ซ้ำๆ และเป็นประจำ

3.โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร/ระบบขับถ่าย

หลายคนน่าจะรู้แล้ว เพราะมีคอนเทนต์ที่นำเสนอความรู้ว่าโทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันทุกวัน อาจจะสกปรกกว่าโถส้วมเสียอีก โดยสถาบันวิจัยที่มีชื่อว่า Which? จากประเทศอังกฤษ มีงานวิจัยที่พบว่า หน้าจอทัชสกรีนของแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน รวมถึงและคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์มีเชื้อแบคทีเรียมากกว่าโถชักโครกถึง 20 เท่า แบคทีเรียชนิดนี้มีชื่อว่า สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสารพิษและทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนและท้องร่วง หากเราจับอุปกรณ์พวกนั้นแล้วไม่ล้างมือ เชื้อโรคก็ปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

นอกจากนี้พฤติกรรมการติดโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ยังอาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย เช่น การกินอาหารไม่ตรงเวลา กินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ ขยับเขยื้อนร่างกายน้อย และพวกที่ชอบนั่งแช่เล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำนานๆ อาจทำให้มีอาการท้องผูก ท้องร่วง หรือริดสีดวงทวาร

4.โรคอ้วน/โรคขาดสารอาหาร

แม้ว่าพฤติกรรมการติดมือถือจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้เกิดโรคอ้วน แต่สำหรับผู้ที่จดจ่ออยู่แต่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยการนั่งทั้งวันไม่ยอมลุกเดินหรือขยับเขยื้อนร่างกายไปทำอย่างอื่นเลย คือปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื่อรังอื่นๆ มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยซิมอน โบลิวาร์ (SBU) ประเทศโคลอมเบีย ระบุว่าคนวัยหนุ่มสาวที่มีพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟน มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามมา เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคเกี่ยวกับหัวใจ

การศึกษานี้ได้ศึกษาพฤติกรรมของนักศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพในมหาวิทยาลัย SBU จำนวน 1,060 คน แบ่งเป็นหญิง 700 คน และชาย 360 คน ผู้เข้าร่วมการทดลองจะมีอายุ 19-20 ปี พบว่านักศึกษาที่ติดสมาร์ทโฟน โดยเล่นสมาร์ทโฟนมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่จะดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล กินอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมหวาน และของว่าง มากกว่าคนที่ไม่ได้ติดถึง 2 เท่า และยังทำให้พวกเขาออกกำลังกายน้อยลง นำไปสู่การเป็นโรคอ้วน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 43 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

หรือในอีกมุมหนึ่ง การเสพติดโทรศัพท์มือถือ และมีพฤติกรรมที่นั่งเล่นหรือจดจ่ออยู่กับหน้าจอทั้งวัน ยังอาจทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ในกลุ่มคนที่กำลังเจริญเติบโต เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเล่นโทรศัพท์ทั้งวันโดยไม่สนใจวันเวลาและมื้ออาหาร หรือถ้าหิวขึ้นมาก็หันไปกินอาหารประเภทสำเร็จรูป อาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์กับร่างกาย จึงทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย (อ้วนก็ขาดสารอาหารได้เช่นกัน)

5.เกี่ยวกับสภาพจิตใจ

มันคือความผิดปกติทางด้านอารมณ์และสภาพจิตใจ ที่เกิดขึ้นจากการติดโทรศัพท์ ติดโซเชียลมีเดีย ติดเกม เทคโนโลยีมีประโยชน์มากก็จริง แต่ถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ขาดการควบคุม ใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม มันก็มีโทษเช่นกัน ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือทางด้านอารมณ์ของคนที่ติดมือถือจนขาดไม่ได้ ความรู้สึกที่จะเกิดจขึ้นเมื่อพวกเขาไม่มีโทรศัพท์ จะทำให้พวกเขากระวนกระวาย โกรธ โดดเดี่ยว ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย หงุดหงิด ก้าวร้าว ฯลฯ บางคนมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และควบคุมตนเอง รวมถึงความเครียดจากการเสพข่าวสารด้านลบ อยู่ตลอดเวลา

บางคนอาจอาการหนักจนเรียกได้ว่าเป็นอาการป่วย เช่น โรคอดทนรอไม่ได้ คนที่จะหงุดหงิด กระวนกระวาย ใจร้อนเวลาที่อินเทอร์เน็ตช้า จนติดมาเป็นพฤติกรรมไม่พึงประสงค์กับชีวิตจริง การเชื่อทฤษฎีสมคบคิด หลงเชื่อข่าวปลอมได้ง่าย และติดอยู่ในห้องเสียงสะท้อน ไม่ยอมเปิดใจรับฟังในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ อาการซึมเศร้า วิตกกังวล มาจากการรอคอยหรือคาดหวังเสียงโทรศัพท์ หรือการตอบกลับข้อความต่างๆ คลั่งการกดไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์ข้อความต่างๆ โรคกลัวตกกระแสหรือ FOMO และโรคขาดมือถือไม่ได้ หรือโนโมโฟเปีย หมกมุ่นกับการใช้โทรศัพท์มากเกินไป

6.ปัญหาการเข้าสังคม

เพราะอาการติดหน้าจอ ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างน้อยลง แม้ว่าเราและเพื่อนจะนั่งอยู่ด้วยกัน แต่มีเรื่องคุยกันน้อยมาก เพราะต่างฝ่ายก็มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ของตนเอง แทนที่จะพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนตรงหน้า จึงมีแนวโน้มว่าผู้ที่ติดโทรศัพท์มือถือ ติดโซเชียลมีเดีย จะแยกตัวออกจากสังคม แล้วไปมีโลกส่วนตัวบนออนไลน์มากกว่า พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใครอื่น ตราบใดที่พวกเขามีโทรศัพท์อยู่กับมือ

Pew Research Center สถาบันวิจัยจากวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ทำการศึกษาข้อมูลของผู้ใช้สมาร์ทโฟน พบว่าคนกว่า 82 เปอร์เซ็นต์ มีปัญหาการสนทนาในชีวิตจริง เนื่องจากเลือกพิมพ์ข้อความสนทนากันมากขึ้น รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ที่ควรจะมีจากการสื่อสารพูดคุย ที่มีการแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าท่าทางและแววตาจะหายไป สมาธิสั้น รวมถึงอ่านหนังสือน้อยลง ทำให้ประสิทธิภาพในการพูดคุยกันกับคนอื่นๆ ลดลงตามไปด้วย ขาดการเรียนรู้การใช้ภาษาในรูปแบบอื่น เพราะการสื่อสารในโลกออนไลน์มักจะใช้แค่คำสั้นๆ จึงมีปัญหาเวลาที่ต้องพูดคุยกับคนอื่นจริงๆ

7.เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสมองและโรคเกี่ยวกับสมอง

ย้ำว่ามันเป็นการ “เพิ่มความเสี่ยง” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการใช้สมาร์ทโฟนจะทำให้เป็นโรคมะเร็งเสมอไป ซึ่งต้นเรื่องนั้นมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกส่งเข้ามาที่อุปกรณ์สื่อสารโดยตรงระหว่างที่เราใช้งาน ซึ่งการใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี สามารถเพิ่มความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคมะเร็งสมองได้ถึง 2 เท่า โดยมะเร็งจะเกิดกับสมองด้านที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นประจำ

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ ส่งผลต่อการทำงานของสมอง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกาได้ทดสอบแล้ว ว่า ไม่ว่าจะปิดหรือเปิดโทรศัพท์, วางคว่ำหน้าหรือหงายไว้บนโต๊ะ (แล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัว) ล้วนบั่นทอนประสิทธิภาพของสมองลงได้ การวางสมาร์ทโฟนไว้ใกล้ตัว ทำให้สมองส่วนหนึ่งพะวงหรือคิดถึงมือถือตลอดเวลา จุดนี้บั่นทอนพลังสมอง มีผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง อาจส่งผลต่อเรื่องความจำ

นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังมีผลการศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือ ว่ามันสามารถส่งผลให้เซลล์ของมนุษย์เปลี่ยนแปลง และอาจก่อให้เกิดมะเร็งหรือเนื้องอกในสมองได้ด้วย พวกเขามีคำแนะนำที่ควรปฏิบัติตามคือ ให้กดรับโทรศัพท์ให้ห่างตัวก่อนพูดคุยตามปกติ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/