วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

4 เหตุผลทำไมเราไม่รู้สึกหิวในตอนเช้า

4 เหตุผลทำไมเราไม่รู้สึกหิวในตอนเช้า


1.เราทานอาหารมื้อเย็นหรือตอนดึกมากเกินไป

หนึ่งในสาเหตุหลักที่เราไม่หิวตอนเช้า คือ เรากินมื้อเย็นเยอะหรือแอบไปกินของว่าง กินขนม กินข้าวในตอนกลางคืน ยิ่งถ้าเป็นอาหารที่มีไขมันหรือโปรตีนสูง อาหารเหล่านี้จะช่วยชะลอความรู้สึกหิว ทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน นอกจากนี้โปรตีนยังช่วยปรับระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว และความอยากอาหารของเราได้ ไขมันทำให้เรารู้สึกอิ่ม และเราก็จะมีความหิวที่ลดลง 

2.ระดับฮอร์โมนเปลี่ยน

ตอนกลางคืนหิวใจจะขาด พอเช้ามากลับไม่รู้สึกหิวซะงั้น การนอนอาจจะทำให้ระดับฮอร์โมนหลายอย่างในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้ความรู้สึกอยากอาหารน้อยลง มีการศึกษาพบว่าระดับอะดรีนาลีนมักสูงในตอนเช้า เชื่อว่ามันช่วยยับยั้งความอยากอาหาร อีกส่วนหนึ่งมันช่วยสลายคาร์โบไฮเดรตที่เก็บไว้เพื่อเป็นพลังงานให้กับร่างกายแทน

3.ความเครียด

ความกังวล ความเครียดส่งผลต่อความหิวเราได้ เมื่อคืนหากเรามีอาการนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ไม่มีแรงบันดาลใจ มีภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลให้ความ บางทีตื่นมาแล้วเราเครียด หรือเรามีความกังวล ก็ทำให้ความอยากอาหารลดลง (เครียดไม่อยากกินข้าว) 

4.ปัจจัยอื่นๆ เกี่ยวกับสุขภาพ

อาการอื่นๆเกี่ยวกับสุขภาพก็ส่งผลกับเราได้ เช่น กำลังตั้งครรภ์ มีอาการเกี่ยวกับไข้หวัด ปอดบวมก็ทำให้เราหิวน้อยลง อาการหวัดนั้นทำให้การรับรู้ของกลิ่นนั้นลดลงไป และทำให้เราไม่รู้สึกหิวสักเท่าไร บางอาการเราอาจจะรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนทำให้ไม่อยากอาหาร 

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:ทำไมถึงรู้สึกหิวตอนเช้า

อาการอ่อนเพลียแก้ไข้ได้ด้วย 7 วิธีนี้

 อาการอ่อนเพลียแก้ไข้ได้ด้วย 7 วิธีนี้


1.ว่าด้วยเรื่องการกิน

อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย เมื่อคุณกินอาหารเข้าไป จะผ่านกระบวนการย่อยและเผาผลาญ เปลี่ยนเป็นสารอาหารและพลังงานให้ร่างกาย อย่างไรก็ดี คุณจำเป็นต้องควบคุมการกินอาหารด้วย ไม่ใช่ว่าจะตามใจปากกินตามใจชอบ ซึ่งถ้าคุณต้องการให้ร่างกายกระฉับกระเฉงตลอดทั้งวัน คุณควรวางแผนการกินดังนี้

  • กินทุกๆ 3-4 ชั่วโมง เพื่อรักษาพลังงานให้คงที่ตลอดทั้งวัน การทิ้งช่วงมื้ออาหารนานเกินไปทำให้พลังงานตก ร่างกายจะเตือนให้คุณรู้เมื่อคุณรู้สึกหิว และระหว่างนั้นอาจทำให้คุณกินจุบกินจิบ ดังนั้น คุณควรกินอาหารให้ถี่ขึ้นทุกๆ 3-4 ชั่วโมง (เมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าหิว) โดยกินทีละน้อยๆ เน้นบ่อยๆ และไม่ใช่ว่าจะกินอะไรก็ได้ เลือกที่มีประโยชน์ด้วย
  • เน้นโปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารที่อยู่ท้อง อิ่มนาน เพราะใช้เวลาย่อยนานกว่าสารอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้ โปรตีนยังช่วยเพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างในมื้ออาหารด้วย
  • คาร์โบไฮเดรต เน้นอาหารที่ใยอาหารสูง เช่น ผลไม้และธัญพืชไม่ขัดสี โดยคาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่ร่างกายใช้เวลาย่อยเร็วที่สุด เพิ่มพลังงานให้ร่างกายเร็วกว่าสารอาหารชนิดอื่นๆ แต่ใยอาหารจะทำให้การลำเลียงคาร์โบไฮเดรตช้าลง อิ่มนานขึ้น รักษาพลังงานไว้ได้นานขึ้น ภาวะน้ำตาลตกก็จะช้าลงตาม เมื่อระดับพลังงานคงที่ คุณก็จะไม่หิว ไม่อยากอาหารบ่อยๆ นั่นเอง
  • ขนมกินได้แต่ต้องเลือก ไม่ได้แปลว่าคุณจะกินขนมไม่ได้ แต่คุณอาจต้องเลือกกิน ซึ่งขนมที่อุดมด้วยสารอาหาร จะช่วยรักษาระดับพลังงานของคุณให้คงที่ หากมีขนม 2 อย่างที่แคลอรีเท่ากัน การเลือกขนมที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์กว่าก็ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าเช่นกัน ได้พลังงานและได้ประโยชน์ ดีกว่าขนมที่กินแล้วได้แต่แคลอรีอย่างเดียวแน่นอน

2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณขาดน้ำหรือได้รับน้ำที่ไม่เพียงพอ หัวใจของคุณจะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด เนื่องจากเลือดคุณข้นหนืด ไหลเวียนไม่สะดวก ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญและการลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนล้าไม่มีแรง เพราะได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอ คุณสามารถเช็กการดื่มน้ำของตัวเองจากการปัสสาวะ หากคุณดื่มน้ำเพียงพอ คุณจะรู้สึกว่าต้องปัสสาวะทุกๆ 2-3 ชั่วโมงระหว่างวัน นอกจากนี้ให้สังเกตสีของปัสสาวะ หากสีเข้มมากคุณก็ดื่มน้ำน้อยเกินไป

3.นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

การที่คุณนอนหลายชั่วโมง ไม่ได้แปลว่าคุณพักผ่อนเพียงพอถ้าการนอนนั้นไม่มีคุณภาพ สังเกตได้จากคุณยังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนทั้งวันทั้งที่เข้านอนเร็วและ (คิดว่า) นอนหลายชั่วโมง การนอนหลับที่มีคุณภาพมีผลต่อระดับพลังงานในแต่ละวัน มีงานวิจัยบางชิ้นที่สนับสนุนว่าเมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล แต่ที่แน่ๆ ถ้าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง เมื่อพลังงานไม่พอ คุณก็มีแนวโน้มจะกินมากขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงาน กินเท่าไรก็ไม่พอเพราะระบบเผาผลาญทำงานไม่ดี

4.อย่าใช้คาเฟอีนเพื่อเพิ่มพลัง

คาเฟอีนช่วยกระตุ้นพลังได้ในระยะสั้นเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป พลังงานของคุณก็จะค่อยๆ ผ่อนลง แต่ไม่ได้หมายความคุณจะดื่มกาแฟไม่ได้ เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณคาเฟอีนให้ได้วันละ 200 ถึง 300 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งปริมาณจะเท่ากับกาแฟที่ชงแล้วประมาณ 2 แก้ว ฉะนั้น คุณสามารถดื่มกาแฟในตอนเช้าได้ตามปกติ ขอแค่อย่าดื่มมากจนเกินไป และต้องเว้นระยะห่างต่อแก้วให้พอดี สมดุลกับการกินอาหารและการดื่มน้ำเปล่า

5.เพิ่มการออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย นอกจากจะมีผลให้ร่างกายของคุณแข็งแรงแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงได้ดีทีเดียว การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน หรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับเลือดอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีผลต่อการควบคุมอินซูลิน ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ เมื่อไม่รู้สึกว่าน้ำตาลตก คุณก็จะไม่รู้สึกเพลียหรืออ่อนล้าหมดแรง

6.ควบคุมความเครียด

หากคุณเครียดมากเกินไป จะทำให้คุณรู้สึกอ่อนล้าและหมดพลังงานได้ ไม่เพียงเท่านั้น ความเครียดยังส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ เมื่อคุณรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ก็ทำให้ยิ่งเหนื่อยและหงุดหงิด แล้วก็จะเครียดหนักกว่าเดิม ดังนั้น คุณจะต้องควบคุมระดับความเครียดของตนเองไม่ให้มีมากเกินไปจนรบกวนการใช้ชีวิต ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น การทำงานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ฟังเพลง นอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง จะช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและความเครียดได้ แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่คุณต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเอง

7.ดูแลตัวเอง

ร่างกายของคุณ ถ้าคุณไม่ดูแลแล้วจะหวังให้ใครมาดูแล สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณจะดีหรือแย่อยู่ที่การดูแลตัวเอง พลังงานที่ทำให้เราดำรงชีวิตได้มาจาก 2 ส่วน คือ พลังทางกายและพลังทางจิตใจ หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มล้า คุณต้องระบุให้ได้ว่าต้องการเพิ่มพลังกายหรือพลังใจ หากต้องการพลังงานกายเพราะหิว คุณก็ไปหาอะไร (ที่มีประโยชน์) กิน ง่วงก็ไปงีบ เหนื่อยก็ดื่มน้ำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย แต่ถ้าต้องการพลังใจ คุณต้องหากิจกรรมที่ช่วยกำจัดพลังงานลบ ลองออกไปเดินรับอากาศบริสุทธิ์ หรือทำอะไรที่ออกแรงกายมากๆ เพื่อผ่อนความตึงเครียดลง

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:อาการอ่อนเพลีย

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564

6 อาการปวดหัวที่อันตราย ควรรีบไปหาหมอ

6 อาการปวดหัวที่อันตราย ควรรีบไปหาหมอ

1.อาการปวดศีรษะที่เป็นแบบเฉียบพลัน รุนแรง โดยเฉพาะความรู้สึกว่าอาการปวดเป็นการปวดที่สุดในชีวิตที่เคยเป็นมา

2.มีอาการร่วมโดยเฉพาะ มีไข้ หรือมีคอแข็ง (ก้มศีรษะแล้วรู้สึกตึงหรือปวดบริเวณคอ)

3.มีอาการชัก ซึม สับสน หรือหมดสติร่วมด้วย

4.ปวดศีรษะแบบเฉียบพลันรุนแรงทันทีหลังการออกกำลังกาย หรือมีการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะ

5.ไม่เคยปวดศีรษะเป็นประจำมาก่อน แล้วมีอาการเฉียบพลันขึ้นมาโดยเฉพาะในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี, หรือปวดศีรษะรุนแรงในขณะกำลังตั้งครรภ์

6.มีอาการแขนขาอ่อนแรง ชา ตามองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น (อาการเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นนี้อาจเกิดขึ้นได้ในคนที่เป็นไมเกรน แต่มักจะหายไปในเวลาไม่นาน) อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยแยกโรคก่อน

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:อาการปวดหัวที่อันตราย

อาการ ปวดศีรษะ 6 สัญญาณอันตราย เส้นเลือดสมองโป่งพอง

อาการ ปวดศีรษะ 6 สัญญาณอันตราย เส้นเลือดสมองโป่งพอง


สาเหตุของเส้นเลือดสมองโป่งพอง

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เส้นเลือดสมองโป่งพองเป็นภาวะของผนังหลอดเลือดอ่อนแรงลงจึงเกิดอาการโป่งพอง เกิดได้ทั้งหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำ โดยส่วนมากที่พบมักจะเป็นหลอดเลือดแดง เมื่อเส้นเลือดโป่งพองถึงจุดหนึ่งก็จะมีการแตก ซึ่งทำให้เกิดภาวะที่สำคัญ คือ เลือดออกในช่องใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแร็คนอยด์ ซึ่งภาวะนี้เป็นอันตรายถึงพิการหรือนำไปสู่การเสียชีวิตได้

สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดสมองโป่งพอง เช่น 

1.ความผิดปกติแต่กำเนิด หรือโรคทางพันธุกรรม 

2.เส้นเลือดแข็งตัวและเสื่อม 

3.ภาวะการติดเชื้อ 

4.มีการอักเสบในร่างกาย 

5.เนื้องอกบางชนิด 

6.อุบัติเหตุ 

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:เส้นเลือดสมองโป่งพอง

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ภาวะ "เปลือกตาหย่อน" อันตรายหรือไม่ แก้ไขได้อย่างไร


ภาวะ "เปลือกตาหย่อน" อันตรายหรือไม่ แก้ไขได้อย่างไรสาเหตุของการเกิด “เปลือกตาหย่อน”

อ. พญ. พิมพ์ขวัญ จารุอำพรพรรณ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ภาวะเปลือกตาหย่อน หรือหนังตาหย่อน (dermatochalasis) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดในผู้สูงอายุ เนื่องจากหนังตามีความยืดหยุ่นมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ทำให้สามารถหย่อนคล้อยลงมาได้ แต่ว่าในกรณีที่เป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุ มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือชาติพันธุ์ เช่น ในคนเอเชียที่มีตาชั้นเดียว และมีการสะสมของไขมันใต้ชั้นหนังตามาก ทำให้ชั้นหนังตาห้อยลงมาต่ำกว่าระดับขนตา และโดยเฉพาะในผู้สูงอายุอาจพบภาวะเปลือกตาตก (blepharoptosis) และคิ้วตก (brow ptosis) ร่วมด้วยได้ ซึ่งต้องแยกสาเหตุเพราะวิธีการรักษาแตกต่างกัน

อันตรายของ “เปลือกตาหย่อน”

นอกจากจะเป็นเรื่องความไม่สวยงามแล้ว การที่เปลือกตาหย่อนคล้อยจนลงมาปิดจนเหมือนหรี่ตาอยู่ตลอดเวลา ทำให้การทัศนวิสัยในการมองเห็นของลดลงด้วย เป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิต หรือทำงานที่ต้องใช้สายตาเป็นสำคัญ เช่น ขับรถ เย็บผ้า ทำงานกับเครื่องจักร และอื่นๆ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเมื่อยล้าหน้าผาก เนื่องจากใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากช่วยยกเปลือกตาบนขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งอาจมีรอยย่นที่หน้าผากถาวรได้ ในบางกรณีขนตาอาจถูกหนังตาที่หย่อนกดลงและม้วนเข้าในทำให้กระจกตาตรงตาดำเป็นแผลหรือระคายเคืองได้ หากมีอาการตามนี้ให้รีบพบแพทย์

แก้ไขเปลือกตาหย่อนได้อย่างไร

อ. พญ. พิมพ์ขวัญ ระบุว่า ภาวะเปลือกตาหย่อน สามารถแก้ไขโดยการผ่าตัดเปลือกตา โดยเลือกตัดบริเวณหนังตาที่ห้อยย้อยลงมาออก รอยแผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่ตรงบริเวณชั้นตา (ถ้ามีชั้นตา) ระหว่างการผ่าตัดอาจจะมีการนำไขมันส่วนเกินที่ทำให้เปลือกตาอูมออกได้ด้วย ก่อนที่จะเย็บปิดแผลตรงชั้นตาให้สวยงามและมีความเป็นธรรมชาติ อาจทำร่วมกับการผ่าตัดตาทำตาสองชั้นได้ ผู้ป่วยจะมีอาการบวมหรือเขียวช้ำบริเวณที่ผ่าตัดประมาณ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นและกลับมาใกล้เคียงปกติ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน

หลังผ่าตัดควรรับประทานยา หรือทายาตามคำแนะนำของแพทย์ และควรระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ เหงื่อหรือสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อน เพราะอาจทำให้แผลติดเชื้อได้ หลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์แพทย์จะนัดมาทำการตัดไหม หลังจากนั้นยังไม่ควรขยี้ตาเพราะจะทำให้แผลเปิดได้ รวมถึงมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามดูอาการ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:"เปลือกตาหย่อน"

5 วิธีดูแลเส้นผมให้นุ่มสลวย ทำเองได้ง่าย ไม่ต้องง้อร้าน

1.เลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับเส้นผม

อันดับแรกในการดูแลเส้นผมให้นุ่มสลวยสุขภาพดี คือการเลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับสภาพเส้นผมของตัวเอง อย่าเลือกใช้ตามคำโฆษณาอย่างเดียว แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับเส้นผมของตัวเองมากที่สุด เนื่องจากลักษณะเส้นผมของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน บางคนอาจมีผมบาง ผมหนา เส้นผมไม่มีน้ำหนัก หรือผมแห้งชี้ฟู ดังนั้นการเลือกใช้แชมพูทำความสะอาดเส้นผม จึงควรเลือกที่เหมาะกับเส้นผมของตัวเอง ที่สำคัญไม่ควรสระผมทุกวัน เพราะอาจจะทำให้เกล็ดผมเกิดความอ่อนแอ ทำให้ผมชี้ฟูได้ง่าย

2.ไม่ลืมทาครีมนวดทุกครั้ง

การใช้ครีมนวดผมหลังสระผมทุกครั้ง เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนมักจะละเลยกันมาก ทั้งที่วิธีนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผมของสาวๆ นุ่มสลวย เนื่องจากครีมนวดผมเป็นตัวช่วยในการถนอมเส้นผมและคอยดูแลความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยเติมความเงางามให้เส้นผมได้อย่างมีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งวิธีการใช้ครีมนวดผมที่ถูกต้องคือ ชโลมครีมนวดผมตั้งแต่บริเวณกึ่งกลางเส้นผมแล้วไล่จรดไปสุดปลายผม ในส่วนของคนที่มีปัญหาผมมันง่าย ควรลดปริมาณการใช้ครีมนวดให้น้อยลงจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

3.ฟื้นฟูเส้นผมด้วยทรีทเมนต์

สาวๆ หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าในช่วงที่เส้นผมของคนเราเปียก จะทำให้เกล็ดผมเปิดออกโดยอัตโนมัติ นั่นจึงทำให้เส้นผมสามารถรับสารอาหารต่างๆ เพื่อไปฟื้นฟูความเสียหายของเส้นผมได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้ทรีทเมนต์ในการบำรุงผมให้มีสุขภาพดีและนุ่มสลวยบ่อยๆ โดยแนะนำให้ใช้ทรีทเมนต์หมักผมขณะเส้นผมเปียกประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจไม่ต่างจากการไปทำผมร้านแพงๆ เลยทีเดียว

4.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงและปกป้องเส้นผม

เมื่อฟื้นฟูเส้นผมที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาเป็นปกติ การบำรุงและป้องกันเส้นผมไม่ให้ได้รับความเสียหายจึงถือเป็นขั้นตอนถัดไปที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยหลังจากสระผมทาครีมนวด หรือทำทรีทเมนต์กันเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ซับผมด้วยผ้าเบาๆ ให้เส้นผมพอหมาดแล้วตามด้วยการบำรุงเส้นผมด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมสูตรเข้มข้นที่อุดมไปด้วยวิตามินและโปรตีน วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผมนุ่มสลวยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เส้นผมแข็งแรงอีกด้วย

5.หวีผมให้ถูกวิธี

การหวีผมถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการบำรุงเส้นผมให้นุ่มสลวยเช่นกัน ซึ่งสาวๆ ควรให้ความสำคัญกับการหวีผมให้มากๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เส้นผมเปียก แม้จะเป็นช่วงที่เส้นผมรับการบำรุงได้ดี แต่ก็จัดเป็นช่วงที่เส้นผมอ่อนแอมากที่สุด ซึ่งหากหวีผมในขณะที่ผมเปียก จะทำให้รากผมไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผมหลุดร่วงได้ง่าย ดังนั้นจึงควรหวีผมในช่วงผมเปียกแต่เพียงเบาๆ หรืออาจจะซับหรือเป่าผมให้แห้งก่อนแล้วค่อยหวีก็ได้เช่นกัน

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:5 วิธีดูแลเส้นผมให้นุ่มสลวย

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564

4 วิธีรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

4  วิธีรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ


1.ในระยะแรกที่ปวดมากมักให้ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วย

2.การคลายจุดกดเจ็บ ซึ่งทำได้หลายวิธี  คือ

  • การใช้เข็มฉีดยาคลาย อาจจะใช้ยาชาช่วยทำให้ไม่เจ็บขณะทำก็ได้
  • การใช้เข็มเล็กบางคลายจุด
  • การสเปรย์ด้วยความเย็นพร้อมกับยืดกล้ามเนื้อ
  • การนวด เช่น นวดกดจุด นวดคลึง อาจใช้ยานวดร่วมด้วยได้ ผู้ที่มีอาการปวด ๆ เมื่อย ๆ แถวหัวไหล่ ให้ลองคลำหาจุดกดเจ็บเอง ถ้าเป็นไม่มากให้ลองคลายจุดด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือนวดคลึงตามจุดที่แสดงไว้ในกล้ามเนื้อเหล่านี้ นวดเสร็จแล้วก็บริหารยืดกล้ามเนื้อนั้น ๆ จะใช้ประคบผ้าเย็นสัก 20 นาทีก็ได้ จะทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) สักหน่อยก็ดี น่าจะทำให้ทุเลาได้ไม่น้อย  ถ้าไม่แน่ใจจึงจะไปพบแพทย์
  • การใช้เครื่องมือและเทคนิคทางกายภาพบำบัด ซึ่งจะได้เห็นตัวอย่างในนิทรรศการ “หลากหลายวิธีคลายปวด” เช่น ultrasound,  laser therapy, TENS เป็นต้น

3. การฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ มีความยืดหยุ่นที่ดี และเพิ่มความแข็งแรงทนทานต่องานในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ด้วยการบริหารยืดคลายกล้ามเนื้อ  แล้วตามด้วยการบริหารต้านน้ำหนักเมื่ออาการปวดลดลงในเวลาต่อมา

4. สิ่งสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ คือ การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขท่าทางอิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น ไม่ควรมีท่าทางไหล่งุ้มหรือห่อไหล่ไปข้างหน้า รวมทั้งเปลี่ยนแปลงหรือจัดวางเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ รอบตัวให้รับกับท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเครียดตึงต่อกล้ามเนื้อ ไม่ให้เกิดการบิดใช้กล้ามเนื้อที่ผิดแนว การเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เช่น ทุก ๆ 15 – 20 นาที  เพื่อให้กล้ามเนื้อที่หดตัวอยู่ได้ผ่อนคลายออกบ้าง

6 วิธีช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน


6 วิธีช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน

1.ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย

2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน

3.นอนพักในที่มืดและเงียบสงบ

4.ประคบเย็นบริเวณศีรษะ

5.ปรับพฤติกรรมการนอน และการรับประทานอาหาร

6.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


9 สาเหตุที่ปวดหัวไมเกรน

1.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิง

2.ความเครียด

3.สภาพแวดล้อม เช่น แสงจ้าหรือแสงแฟลช เสียงดัง กลิ่นที่รุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบฉับพลัน

4.การใช้ยาบางชนิด

5.การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือมากเกินไป

6.ออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไป

7.การสูบบุหรี่

8.อาการถอนคาเฟอีน

9.การอดอาหาร หรือการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับการ: ปวดหัวไมเกรน

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ทำไม "ผู้สูงอายุ" จึงไม่รู้สึกคันหลังจากถูก "ยุงกัด"?

 ทำไม "ผู้สูงอายุ" จึงไม่รู้สึกคันหลังจากถูก "ยุงกัด"?


คนต่างวัยมีการตอบสนองต่อการถูกยุงกัดได้อย่างไร

คนเรามีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในยุงที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงชีวิต ในเด็กแรกเกิด เมื่อโดนยุงกัด เด็กจะไม่รู้สึกคันหรือมีอาการบวมแดงบริเวณรอยแผลที่โดนกัด เนื่องจากยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างไรก็ดี เมื่อถูกยุงกัดหลายครั้งเข้า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะค่อยๆ ถูกสร้างขึ้น จนเมื่อเข้าสู่วัยอนุบาลและประถมศึกษา เซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายได้แก่ T เซลล์ (T cells) และแมคโครฟาจ (Macrophage) จะจดจำโปรตีนในน้ำลายยุงและพวกมันจะมารวมกันที่ตำแหน่งที่โดนยุงกัด ก่อให้เกิดการบวมแดงขึ้น เด็กๆ จะไม่รู้สึกคันขึ้นมาในทันทีหลังจากโดนยุงกัด แต่อาการคันจะเกิดขึ้นหลังโดนกัดเป็นเวลาหลัง 1-2 วัน เรียกปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันชนิดนี้ว่าปฏิกิริยาการประวิงเวลา (Delayed reaction) ซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันหลังจากยุงกัดที่เกิดในเด็กส่วนใหญ่ อาการบวมแดงและคันจะหายไปในระยะเวลาหลายวันจนถึงสัปดาห์ อย่างไรก็ดี มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรให้เด็กถูกยุงกัดบ่อย เพราะอาจจะทำให้เกิดการแพ้น้ำลายยุงและส่งผลให้เด็กมีอาการบวมคันและอักเสบที่ผิวหนังได้ อีกทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดโรคอย่างไข้เลือดออกได้อีกด้วย



เมื่อโตขึ้นมาอีกและถูกยุงกัด ปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันต่อน้ำลายยุงจะเปลี่ยนไป โดยเมื่อถูกยุงกัดร่างกายจะสร้างอิมมูโนโกลบูลินชนิด E หรือ IgE ขึ้นมาต่อต้านโปรตีนในน้ำลายยุง เมื่อ IgE จับกับโปรตีนที่แปลกปลอมจะทำให้เกิดการหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) และสารอื่นๆ ออกมาจากเซลล์ที่เรียกว่า แมสต์เซลล์ (Mast cells) ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ที่ผิวหนัง แล้วก่อให้เกิดอาการคันและบวมแดงขึ้นมาหลังจากโดนยุงกัดในเวลา 2-3 นาที อาการคันและบวมแดงจะบางเบาลงภายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เรียกปฏิกิริยาการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อน้ำลายยุงชนิดนี้ว่า ปฏิกิริยาแบบเฉียบพลัน (Immediated reaction) ทั้งนี้การตอบสนองแบบ Delayed reaction ก็จะยังเกิดขึ้นด้วย ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ดังนั้นยุงกัดเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดอาการบวมคันขึ้นมาทันทีและอาจจะคันหลังจาก 1-2 วันด้วย

เมื่ออายุประมาณ 50-60 ปี และถูกยุงกัดมานับไม่ถ้วน T เซลล์และแมคโครฟาจจะค่อยๆ คุ้นกับโปรตีนในน้ำลายยุงและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มไม่ค่อยตอบสนองต่อโปรตีนในน้ำลายยุงแล้ว การตอบสนองแบบ Delayed reaction จะค่อยๆ หายไป คงไว้แต่การตอบสนองแบบ Immediated reaction ที่เมื่อถูกยุงกัดแล้วอาการบวมและคันที่เกิดขึ้นจะหายไปภายในเวลาประมาณ 30 นาที

ในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60  ปี การตอบสนองภูมิคุ้มกันแบบ Immediated reaction จะค่อยๆ หายไป แต่ร่างกายจะสร้างอิมมูโนโกลบูลินอีกชนิดขึ้นมาต่อต้านน้ำลายยุง คือ  IgG ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพสูงในการจับกับน้ำลายยุงและลดความรุนแรงของโปรตีนในน้ำลายยุงได้เร็วกว่าปฏิกิริยาการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแบบ Immediated reaction จึงทำให้ผู้สูงอายุไม่มีอาการบวมและคันจากการถูกยุงกัดนั่นเอง

แม้ว่าเมื่ออายุมากขึ้นอาการบวมคันจากการถูกยุงกัดจะน้อยลงจนทำให้ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นสามารถไปนั่งใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะช่วงฤดูร้อนได้อย่างไร้กังวล แต่สำหรับคนไทยไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของชีวิตเราก็ยังต้องระวังยุงอยู่เสมอ เพราะยุงเป็นพาหะนำโรคอย่างไข้เลือดออกและไข้มาลาเรีย

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:ผู้สูงอายุ

วิ่งเช้า vs วิ่งเย็น ช่วงไหนประโยชน์ดีกว่า?

วิ่งเช้า vs วิ่งเย็น ช่วงไหนประโยชน์ดีกว่า?


เช้าตรู่ (5.00 - 7.00 น.), ตอนบ่าย (15.00 - 17.00 น.) และ ตอนเย็น(18.00 - 20.00 น.)

ร่างกายของมนุษย์มีนาฬิกาชีวิตที่เดินตลอด 24 ชั่วโมง โดยในทุกช่วงเวลานั้น อุณหภูมิของแกนกลางลำตัวส่งผลโดยตรงกับอุณหภูมิภายในร่างกาย ระดับฮอร์โมน การหายใจ พละกำลัง และการสะสมพลังงาน ซึ่งส่วนมากตามตารางชีวิตปกติ อุณหภูมิของร่ายกายจะขึ้นสูงในช่วงบ่าย ประมาณ 17.00 - 19.00 น. ค่อยๆ ลดต่ำลงเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน และต่ำสุดในเวลาตี 5 ของวัน แล้วเราควรวิ่งตอนไหนดี ระหว่างตอนเช้ากับตอนเย็น?


วิ่งตอนเช้าดียังไง

การต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ขุดตัวเองออกจากเตียงอาจฟังดูทรมานและยากเย็นเข็ญใจ แต่เชื่อสิว่าข้อดีเหล่านี้จะทำให้คุณต้องเปลี่ยนความคิดแน่นอน

  • ช่วยเรื่องลดน้ำหนัก กระตุ้นระบบเผาผลาญ
  • การกระตุ้นร่างกายยามเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อท้องเราว่าง ไม่มีคาร์บและโปรตีน ร่างกายจะดึงไขมันมาใช้ เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะการเผาผลาญจะเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวันแม้วิ่งเสร็จแล้วก็ตาม แต่แนะนำให้หาอะไรกินรองท้องก่อนวิ่งนิดนึง เพื่อป้องกันการขาดน้ำตาล อาจเป็นสแน็คที่กินง่าย ย่อยดี ไม่หนักท้อง เช่น กล้วยหอม, ขนมปังโฮลวีท, โยเกิร์ต และสำคัญที่สุดคือเมื่อวิ่งเสร็จควรกินมื้อเช้าที่ดี มีประโยชน์ และให้สารอาหารเพียงพอต่อร่างกาย อย่าไปกลัวอ้วนเพราะเรานำออกแล้วก็ต้องนำเข้า
  • สร้างกล้ามเนื้อได้ดีเลย
  • ในช่วงเช้าของวันระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) จะขึ้นสูงในช่วงตี 5 - 8 โมงเช้า เหมาะแก่การบิ้วกล้ามจริงๆ แต่ที่ห้ามลืมคือการกินอาหารเช้าที่อุดมด้วยโปรตีนหลังออกกำลังกาย เพื่อชดเชยและทดแทนส่วนที่ขาดไป ไม่งั้นกล้ามหาย เสียเวลาเปล่า
  • สูดอากาศเย็นสบาย สดชื่น
  • อากาศบริสุทธิ์ยามเช้า กลิ่นน้ำค้าง ลมโชยอ่อนๆ ใครจะอดใจนอนต่อไหว การได้วิ่งท่ามกลางบรรยากาศสดชื่น สูดให้ลึกเต็มปอดส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ (ยกเว้นวันที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูง ควรเช็คก่อนออกไปวิ่ง เพราะหมอกจางๆ อาจกลายเป็นควันพิษได้) แถมแสงแดดอ่อนยามเช้ามีวิตามินดี ช่วยบำรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคกระดูกพรุน อีกด้วย
  • กระปรี้กระเปร่า Productive เริ่มต้นวันใหม่ที่ดี
  • การกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และรู้สึกมีประสิทธิภาพและพร้อมทำกิจกรรมหรืองานในวันนั้นได้อย่างเต็มที่ (Productive) เพราะการเอาชนะตัวเองด้วยการตื่นเช้าออกไปวิ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจว่าคุณเอาชนะความขี้เกียจของตัวเองได้สำเร็จ ถือเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีเลยทีเดียว
  • อารมณ์ดี สดใส ตลอดวัน
  • ในตอนเช้า ร่างกายจะมีปริมาณฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่มีผลต่อความเครียด ค่อนข้างสูงในช่วงประมาณ 8 โมงเช้า และมีฮอร์โมนแห่งความสุข (Endorphine) ต่ำ ดังนั้นเมื่อเราวิ่งร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอนโดรฟีนออกมา ช่วยปรับอารมณ์ให้ดี สดใส รู้สึกไม่เฉื่อยชา ลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้
  • ทำเป็นกิจวัตรได้ง่าย
  • การบังคับตัวเองให้ลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่อาจยากลำบากในช่วงแรก แต่เมื่อคุณทำเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรแล้วจะรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่คิด กำจัดข้ออ้างที่อาจเกิดขึ้นจากงานที่ยังไม่เสร็จ ความเหนื่อยล้าในตอนเย็น ฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะเมื่อคุณวิ่งจบแล้วตั้งแต่เช้ามันเหมือนปลดล็อคความกังวล ตอนเย็นจะไปไหนทำอะไรได้ตามสบาย และวิ่งนักกีฬาหรือคนที่มีแข่งขันควรต้องฝึกซ้อมเช้า เพราะการปรับร่างกายให้คุ้นชินกับช่วงเวลาแข่งจริงส่งผลต่อประสิทธิภาพในวันแข่งอีกด้วย
  • ช่วยเรื่องความดันโลหิต
  • ผลวิจัยเผยว่าการวิ่งในช่วงเช้า (6 - 8 โมง) ช่วยให้ค่าความดันช่วงบน หรือ ความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure)ในกลุ่มผู้มีความดันโลหิตสูงลดลงระหว่างวัน
  • อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่ายกว่า
  • ช่วงเช้าร่างกายจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดน้อย ยังไม่ไปทั่วกล้ามเนื้อเหมือนในช่วงบ่ายหรือเย็น หากวอร์มอัพไม่เพียงพออาจทำให้บาดเจ็บได้ง่าย ควรเน้นการวอร์มอัพแบบ dynamic เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
  • วิ่งได้ไม่เต็มที่
  • สำหรับมือใหม่หรือคนที่ยังไม่ชิน ร่างกายอาจยังไม่ปรับตัวให้เข้ากับการใช้แรงเยอะๆ ในช่วงเช้า อุหณภูมิในร่างกายก็ต่ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการวิ่งอาจไม่เต็มที่เหมือนตอนเย็นที่ร่างกายตื่นตัวแล้ว บางคนอาจพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะทำงานดึก ตื่นเช้า ควรนอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง หากประเมิณแล้วว่าต้องนอนดึกควรงดและเปลี่ยนไปซ้อมเย็นแทน เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อความดันโลหิตและหัวใจ
 

วิ่งตอนเย็นเป็นไง?

นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าการวิ่งในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ มักมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะอุหณภูมิของร่างกาย ระดับฮอร์โมน การหายใจ ถึงจุดสูงสุด กล้ามเนื้อยืดหยุ่น พลังงานพอเพียง ฯลฯ หลายคนมักเลือกเวลานี้ในการเสียเหงื่อ มีข้อดี-ข้อเสีย ยังไงไปลองดู

  • สร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่าตอนเช้า


  • การวิ่งในตอนบ่าย-เย็น สร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่าตอนเช้า หากคุณมีการซ้อมด้วยการใช้แรงต้านควบคู่ไปด้วย เพราะระดับของฮอร์โมนทั้งเทสโทสเตอโรนและคอร์ติซอลอยู่ในระดับเหมาะสมกับการสร้างกล้ามเนื้อมากกว่า จึงไม่เหนื่อยเท่าตอนเช้า
  • วิ่งได้นานกว่า และมีประสิทธิภาพ
  • หากต้องซ้อมเก็บระยะในนักวิ่งทางไกล ร่างกายมีสารอาหารเพียงพอเพราะเก็บสะสมมาตลอดทั้งวัน สามารถพัฒนาความทนทานได้เป็นอย่างดี มีแรงวิ่งเต็มที่เพราะร่างกายพักผ่อนเพียงพอ ไม่เหมือนตอนเช้าที่อาจนอนดึกแล้วรีบตื่นเช้า
  • เสี่ยงต่อการบาดเจ็บน้อยกว่า
  • อุณหภูมิของร่างกายอยู่ในระดับปกติไม่เหมือนตอนเช้าที่ค่อนข้างต่ำ บวกกับพลังงานจากสารอาหารระหว่างวัน และการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดทั้งวันเหมือนได้วอร์มอัพก่อนแล้ว ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากกว่า อีกทั้งยังตื่นตัว กระฉับกระเฉง พร้อมออกไปลุย โปรแกรมโหดแค่ไหนก็ไม่กลัว
  • คลายเครียด หลับสบาย
  • ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องงาน ที่ถาโถมเข้ามาตลอดทั้งวัน การได้ออกไปวิ่ง แม้จะเสียเหงื่อแต่ได้ความสุข ช่วยคลายความเครียดและความเมื่อยล้าจากการเรียนและงานได้เลยทีเดียว บางทีเวลาเราหงุดหงิดเรื่องอะไร การออกไปวิ่งทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และปล่อยวางมันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ฮอร์โมนแห่งความสุขที่หลั่งเมื่อออกกำลังกาย ช่วยให้หลับสนิท แก้ปัญหาการนอนไม่หลับได้ (แต่ไม่ใช่ว่าวิ่งดึกจนเกินไป อันนั้นอาจตื่นตัวและนอนไม่หลับนะ)
  • เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง
  • วิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องเร่งรีบในยามเช้า ฝ่าดงรถติดไปโรงเรียนหรือที่ทำงาน ลำพังแค่เวลานอนก็ไม่พอ การวิ่งเช้าอาจทำได้ไม่เต็มที่ แต่เมื่อเราทำงานหรือเรียนเสร็จ แค่เดินทางไปสวน วิ่งแถวหมู่บ้านในตอนเย็น พบปะเพื่อนฝูง เป็นทางออกของการออกกำลังกายสำหรับชีวิตคนในเมืองได้
  • หากวิ่งหนักหรือดึกเกินไปอาจนอนหลับยาก
  • บางทีกว่าจะเลิกงานก็ดึก รถติด ไปถึงยิมก็มืดแล้ว แต่จะไม่วิ่งก็ไม่ได้เพราะตั้งใจเหลือเกิน การซ้อมในช่วงดึกเกินไปอาจส่งผลต่อการนอนหลับในผู้ที่มีปัญหานี้อยู่แล้ว ควรกะเวลาให้ร่างกายได้คูลดาวน์เพื่อเตรียมตัวสำหรับการพักผ่อน
  • อาจทำไม่ได้เป็นกิจวัตร
  • ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานที่ยังค้าง การจราจรติดขัด ฝนตก ความเหนื่อยล้า หรือบางทีหากมีนัดปาร์ตี้กระทันหัน ทำให้อาจพลาดการซ้อมไปได้ อีกทั้งสภาพอากาศอาจไม่ดีและบริสุทธิ์เท่ายามเช้าแน่นอน ทั้งฝุ่นควัน มลพิษต่างๆ และสำหรับนักวิ่งสายสตรีทที่วิ่งตามท้องถนนอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากทัศวิสัยอาจไม่ดีเท่าช่วงเช้า
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ :การวิ่ง

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564

6 ความเชื่อที่เข้าใจผิดทำให้น้ำหนักไม่ลดสักที่


6 ความเชื่อที่เข้าใจผิดทำให้น้ำหนักไม่ลดสักที่

1.อยากผอมลงต้องอดอาหาร

ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเมื่อเราอดอาหารในมื้อใดมื้อหนึ่ง จะทำให้เรากินหนักเป็น 2 เท่าในมื้อถัดไป และร่างกายจะเกิดการปรับตัว โดยใช้พลังงานให้น้อยลงเท่ากับที่เรากินเข้าไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำการเผาผลาญน้อยลง เมื่อเรากลับมากินเหมือนเดิม แต่ร่างกายยังคงเผาผลาญพลังงานได้น้อยกว่าเดิม ทีนี้แหละน้ำหนักก็จะพุ่งพรวด หรือที่เรียกกันว่า “โยโย่” นั่นเอง

2.อยากผอมให้กินผลไม้

อย่าลืมว่าในผลไม้ก็มีน้ำตาล ซึ่งผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลสูงมาก และบางชนิดก็มีแป้งด้วยเช่นกัน ดังนั้นในช่วงที่ทำการลดน้ำหนัก เราควรจะเลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลและแป้งต่ำแทนจะดีกว่า เช่น ชมพู่ แก้วมังกร แอปเปิล ส่วนผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เงาะ ลำไย ทุเรียน มะม่วงดิบ มะม่วงสุก ละมุด แต่ถ้าหักห้ามใจไม่ไหวจริง ๆ ก็กินได้ แต่อย่าเยอะ

3.ออกกำลังกายอย่างหักโหม

การลดน้ำหนักที่ดีนั้นต้องทำการควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่บางคนใจร้อนอยากให้น้ำหนักลดลงได้เร็วๆ โหมออกกำลังเสียจนร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บ จนทำให้ไม่อยากออกกำลังกายอีก เพราะต้องหยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บยาวไป

4.นับแคลอรี่อย่างบ้าคลั่ง

การนับแคลอรี่ในอาหารที่กินเข้าไปก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้รู้ว่าควรจะกินอะไรเข้าไปแค่ไหน แต่การนับแคลอรี่ในอาหารอย่างบ้าคลั่งโดยนับมันทุกสิ่ง จดมันทุกอย่าง จะทำให้เกิดความเครียดและทำสิ่งนี้ได้ไม่นาน เพราะเราเข้มงวดกับตัวเองเกินไป จนสุดท้ายตบะแตก เลิกทำเอาเสียดื้อๆ ทำให้การลดน้ำหนักของเราล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ

5.เหงื่อออกเยอะ คือน้ำหนักลดลงได้เยอะ

เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ผิด เพราะการที่น้ำหนักจะลดลงได้ เราต้องกำจัดปริมาณไขมันในร่างกายออกไป แต่เหงื่อคือ น้ำในร่างกายที่ร่างกายขับออกมาเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้น ในขณะที่เรากำลังออกกำลังกาย ดังนั้น การที่น้ำหนักของเราลดลงหลังจากที่มีเหงื่อออกเยอะ เป็นเพราะน้ำในร่างกายลดลงต่างหาก ไม่ใช่ไขมัน

6.กินแต่อาหารเสริมช่วยลดน้ำหนัก

เป็นทางลัดที่หนุ่มๆ หลายคนใช้อยู่ เพราะอยากได้ผลเร็ว ซึ่งนอกจากไม่ได้ทำให้เราผอมแล้ว ยังก่อให้เกิดอาการโยโย่ตามมา ที่สำคัญยังทำให้สุขภาพและระบบเผาผลาญพังง่ายด้วยเช่นกัน

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:การลดน้ำหนัก

4 สาเหตุที่ทำให้ขาใหญ่จนเสียความมั่นใจ


4 สาเหตุที่ทำให้ขาใหญ่จนเสียความมั่นใจ

1.ทานโซเดียมจำนวนมาก

อาหารที่เรานิยมรับประทานกันในยุคนี้ อย่างเช่น อาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส้มตำ ยำ ขนมทานเล่น หรืออาหารรสจัดทั้งหลาย แม้จะอร่อยแค่ไหน แต่รู้หรือไม่ว่ามันเต็มไปด้วยโซเดียมที่ส่งผลเสียโดยตรงกับเรา เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ เกิดอาการบวมน้ำ และทำให้ขาของคุณบวมใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

2.ใส่แต่ขาสั้น

สำหรับสาวๆ ที่ชอบใส่ขาสั้นหรือกระโปรงแล้วรู้สึกมั่นใจ อาจจะไม่ผิดในเรื่องของแฟชั่นอย่างใด แต่การปล่อยให้ขาสัมผัสกับอากาศหนาวบ่อยครั้ง อาจจะทำให้ผิวหนังขาดสมดุลจนทำให้ขาดูใหญ่ขึ้นได้ เนื่องจากร่างกายต้องนำไขมันมาทำให้ส่วนขาอบอุ่นขึ้น สาวๆ จึงควรเลือกใส่กางเกงขายาว กระโปรงยาว หรือทาครีมเพื่อปกป้องเรียวขาอยู่เสมอ

3.เกาขาบ่อย

การเกาหรือการไปยุ่งกับต้นขาหรือขาบ่อยๆ นั้น เป็นการทำร้ายผิวบริเวณขาโดยตรง เพราะทำให้ผิวเสีย เกิดเป็นรอยถลอก หรือเกิดแผลเป็น ทำให้ขาลายไม่น่ามองได้ ฉะนั้นหากเกิดอาการคันควรหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษาอย่างถูกต้อง เช่น ทาครีมหรือทายาในกรณีที่มีแมลงกัดต่อย เป็นต้น

4.นั่งนานเกินไป

สำหรับท่านที่ต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศซึ่งต้องนั่งเป็นเวลานาน แนะนำว่าคุณควรหยุดพักและออกมาขยับขาไปมาเสียบ้าง เพราะหากนั่งนานเกินไปจะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ส่วนขาและส่วนที่ใกล้เคียงได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินได้ง่าย จนมองเห็นขาที่ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยแนะนำว่าไม่ควรนั่งนานติดต่อกันเกิน 3 ชั่วโมง อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างมากเกินไป เพราะจะส่งผลให้เกิดรอยกดทับ เส้นเลือดขอด และอาจต้องเข้ารับการรักษาจนทำให้ขาไม่น่ามองได้

สาระน่ารู้เกี่ยว: กับผู้หญิง

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตะคริว คืออะไร แก้ไขอย่างไร

 ตะคริว คืออะไร แก้ไขอย่างไร


ตะคริว คือ อาการหดเกร็งที่ทำให้กล้ามเนื้อปวดและเป็นก้อนแข็ง ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยที่เราไม่สามารถบังคับได้ บางครั้งก็อาจมีอาการปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อมัดที่เกิดการหดเกร็ง การเป็นตะคริวนี้อาจเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนใดของร่างกายก็ได้ และอาจเกิดกับกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียวหรือหลายๆ มัด พร้อมกันก็ได้

“ตะคริว” เกิดขึ้นได้หลายช่วงเวลา แม้ในช่วงที่ไม่ควรเกิดขึ้น จนอาจนำอันตรายมาสู่เราได้ เช่น ตอนว่ายน้ำ ตอนวิ่ง ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน บางรายอาจมีอาการตะคริวที่ขาในขณะนอนหลับตอนกลางคืนจนสะดุ้งตื่น หรือที่เรียกว่าตะคริวกลางคืน ซึ่งมักเกิดกับกล้ามเนื้อขาและพบได้บ่อยในคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ บางรายก็เกิดที่ หลัง หรือหน้าท้อง 

การเกิดตะคริวจะเป็นอยู่เพียงแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทิ้งเวลาไว้ซักพักภายใน 2-15 นาที อาการจะดีขึ้น ในบางรายอาจมีอาการปวดเรื้อรังเป็นวันก่อนจะหายอย่างสมบูรณ์ การเกิดตะคริวทำให้เกิดปัญหาการเคลื่อนไหวในจุดนั้นๆ เราจึงจำเป็นต้องรู้จักอาการนี้ทั้งสาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

สาเหตุของการเกิดตะคริว

  1. ตะคริวเกิดจากสาเหตุมากมายหลายประการจนยากที่จะระมัดระวังได้ จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมการเกิดตะคริวได้ สาเหตุที่ว่านั้น อาจเกิดจาก
  2. เอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้ยืดตัวบ่อยๆ จึงทำให้มีการหดรั้งหรือเกร็งได้ง่าย
  3. เซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติในขณะนอนหลับ
  4. เกิดได้จากโรคบางโรค เช่น โรคตับ หรือโรคไต
  5. เกิดจากการใช้ยาบางกลุ่ม เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาราโลซิฟีน เป็นต้น

  • การดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ
  • เกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะโซเดียมและโพแทสเซียม ได้แก่ ท้องเดิน อาเจียน เสียเหงื่อมาก
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ก็อาจเป็นตะคริวได้บ่อย
  • ตั้งครรภ์อาจเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น เนื่องจากระดับของแคลเซียมในเลือดต่ำ
  • บาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ อาจเกิดจากการกระแทกระหว่างเล่นกีฬา
  • ใช้กล้ามเนื้อส่วนนั้นทำงานหนักมากเกินไประหว่างการทำกิจกรรมออกแรง
  • เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่พอ จากการออกกำลังกายหนักหรือวอร์มอัพไม่พ่อ
  • การนอน นั่ง หรือยืน ในท่าที่ไม่สะดวกนานๆ ก็ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก
  • ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หรือหลอดเลือดตีบตันๆ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี

จะแก้ตะคริวอย่างไร

หากเกิดตะคริวขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบนบก ให้ยืดกล้ามเนื้อ หรือนวดบริเวณที่เป็นตะคริวประมาณ 1-2 นาที หากอาการยังไม่หายดี ให้ค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ

หากเกิดตะคริวขณะว่ายน้ำ เราต้องตั้งสติ พยายามทำให้ตัวของเราลอยน้ำอยู่ตลอดเวลา หากเกิดตะคริวที่น่องด้านหลัง ให้หงายตัวขึ้น ใช้มือพยุงน้ำให้ลอย และยกขาขึ้นเหนือน้ำเข้าหาใบหน้า หากเกิดตะคริวหลังขาอ่อน พยายามอยู่ในท่านอนคว่ำ และพับข้อเท้าเข้าหาด้านหลัง หากเกิดตะคริวที่ข้อเท้า นอนหงายและให้เท้าอยู่บนผิวน้ำ แล้วนวด หรือหมุนเบาๆ ที่ข้อเท้า

หากเกิดอาการเป็นตะคริวในขณะที่นอน ให้ยืดกล้ามเนื้อขา โดยยืดขาให้ตรง กระดกปลายเท้าขึ้น ค้างไว้ 5 วินาที ทำแบบนี้ 5-10 ครั้ง แล้วนวดกล้ามเนื้อขาเป็นวงกลมจนกว่าจะหาย

หากสตรีตั้งครรภ์เกิดตะคริว ให้ปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพื่อที่แพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียด และทำการรักษา เนื่องจากอาการตะคริวอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ: ตะคริว




ทำไมถึงเหนื่อยตลอดเวลา 5 สาเหตุที่ทำให้เหนื่อย

ทำไมถึงเหนื่อยตลอดเวลา 5 สาเหตุที่ทำให้เหนื่อย


1.  กินคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมากเกิน

ไปคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี ให้เห็นภาพง่ายสุดคือ น้ำตาล เช่น น้ำตาลทราย น้ำเชื่อมข้าวโพด หรืออย่างธัญพืชขัดสี เช่น ข้าวสาลีขัดสีที่เป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตแป้งขาว คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านขัดสีนั้นสูญเสียสารอาหารที่สำคัญเช่น ไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุไปเกือบทั้งหมด ทำให้เป็นอาหารที่มีแคลอรี่อย่างเดียวการรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมากเกินไปเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยได้ตลอดทั้งวัน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไประดับน้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินจำนวนมากเพื่อนำน้ำตาลออกจากเลือด และเมื่อเวลาผ่านไป ระดับน้ำตาลที่ตกลงมาจะทำให้เรารู้สึกหมดแรง แล้วเราก็จะอยากกินน้ำตาลอีกครั้ง แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

2. อยู่นิ่งมากเกินไป

มีผลวิจัยชี้ว่าผู้ใหญ่วัยกลางคนและผู้สูงอายุ ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย อาจจะมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เป็นความอ่อนล้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ในแต่ละวัน คำแนะนำง่ายๆ คือ ให้ออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มพลังงาน หรืออย่างน้อยเดินบ่อยๆ จะช่วยลดความรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลาได้ 


3. นอนหลับอย่างมี “คุณภาพ” ไม่เพียงพอ

ย้ำว่านอนหลับอย่างมี คุณภาพ ไม่เพียงพอ แล้วหลับแบบมีคุณภาพคืออะไร ง่ายสุดคือ ชั่วโมงการนอนเพียงพอ คุณภาพการหลับดีทุกระยะการหลับ หลับตื้น หลับลึก หลับฝัน ให้ง่ายกว่านั้น ให้ทำตามนี้

  • ก่อนนอน งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • ไม่ทานอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนอน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พยายามอย่าเล่นมือถือก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที 
  • พยายามนอนให้เป็นเวลา
  • จัดสภาพแวดล้อมการนอนให้ดี ไม่หนาวไป ไม่ร้อนไป เลือกหมอนที่นอนให้ดี 

การทำแบบนี้จะช่วยให้เรานอนอย่างมีคุณภาพมากขึ้น หลับลึกขึ้น ไม่หลับๆตื่นๆกลางดึก และจะช่วยลดความรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลาของเราได้ 

4. ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ

การทานโปรตีนไม่เพียงพออาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราอ่อนล้า รู้สึกเหนื่อยตลอดทั้งวันได้ มีการศึกษาในกลุ่มนักศึกษาเกาหลี ชี้ว่า กลุ่มนักศึกษาที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเช่น ปลา เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วอย่างน้อยวันละสองครั้งพวกเขามีความรู้สึกเหนื่อยล้าลดลง อีกทั้งโปรตีนยังช่วยรักษาระดับเมตาบอลิซึม ป้องกันความล้าอีกด้วย 

5. ระดับความเครียดสูง

ความเครียดส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรา มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าความเครียดที่มากเชื่อมโยงกับความเหนื่อยล้า เราอาจจะเคยรู้สึกเวลาเครียดๆแล้วทำงานจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น ไม่อยากทำอะไร รู้สึกเพลีย สาเหตุนี้แก้ได้ด้วยการจัดการความเครียด จะโยคะก็ได้ กินอาหารที่ชอบ พักผ่อน ออกกำลังกายก็จะช่วยลดความเครียดได้ 

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:สาเหตุที่ทำให้เหนื่อย

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564

คออักเสบ อาการเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดอาการตีบรั่วของหัวใจ

คออักเสบ อาการเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดอาการตีบรั่วของหัวใจ

คออักเสบ คืออะไร

คออักเสบ หรือ Pharyngitis คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรียภายในอากาศ ซึ่งโรคชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายได้ทุกวัย และหากผู้ป่วยเป็นเด็กก็เสี่ยงต่อการทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น โรคหัวใจรูมาติก

อาการของคออักเสบ

1.อาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ลักษณะของอาการจะมีเสียงแหบ มีอาการคอแห้ง คอแดง มีไข้ต่ำกว่าการติดเชื้อจากแบคทีเรีย น้ำมูกไหล ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย ผื่นขึ้นตามผิวหนัง และอาจมีอาการร้อนใน และในส่วนของผู้ป่วยเด็กจะมีอาการท้องร่วงร่วมอยู่ด้วย

2.อาการที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ลักษณะของอาการจะมีไข้ ปวดเมื่อยไม่สบายตัว ปวดศีรษะ มีจุดสีแดงหรือรอยขาวรอยเทาที่คอ คอบวมแต่เมื่อกดจะไม่มีอาการปวด และในส่วนของผู้ป่วยเด็กจะมีอาการปวดท้องและคลื่นไส้อาเจียนร่วมอยู่ด้วย

วิธีรักษาคออักเสบ

ในส่วนของวิธีการรักษาโรคคออักเสบนั้นควรรักษาตามอาการจนกว่าเชื้อจะถูกกำจัดผ่านภูมิคุ้มกันของร่างกาย พร้อมทั้งการดูแลตัวเองด้วยวิธีดังนี้

1.อาการคออักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ควรรักษาด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ หมั่นดื่มน้ำอุ่น กินอาหารที่ย่อยง่าย ห้ามปล่อยให้คอแห้ง และกินยาลดไข้หรือยาแก้ปวดตามแพทย์สั่ง

2.อาการคออักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย รักษาด้วยการกินยาที่สามารถฆ่าเชื้อได้ตามแพทย์สั่ง ซึ่งจำเป็นต้องกินยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7-10 วัน อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดกินยาด้วยตัวเองเมื่อรู้สึกว่าอาการดีขึ้น เพราะจะส่งผลให้การรักษาไม่เป็นผลสำเร็จ และอาจทำให้เกิดการดื้อยาได้

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ คออักเสบ

3 ประเภทของอาการ แผลหนอง วิธีดูแล แผลเป็นหนอง ที่ถูกต้อง

3 ประเภทของอาการ แผลหนอง วิธีดูแล แผลเป็นหนอง ที่ถูกต้อง

วิธีดูแล รักษาแผลเป็นหนอง

การรักษาหนองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีความรุนแรง การรักษาแผลเป็นหนองนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและลักษณะของบาดแผล เมื่อพบว่าแผลมีหนอง แพทย์จะทำการระบายหนองออกโดยยังคงรักษาความชุ่มชื่นของแผลไว้เพื่อให้ร่างกายนั้นรักษาตัวเองไว้ได้ แผลที่มีการติดเชื้อมากๆ นั้นอาจจะต้องได้รับยาเพื่อรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งยาแต่ละชนิดแพทย์จะทำการสั่งโดยวินิจฉัยจากอาการ

ประเภทของ แผลเป็นหนอง

ประเภทของแผลเป็นหนองนั้นสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. Sanguineous drainage

หนองชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นสีแดงสดหรือสีชมพู โดยหนองชนิดนี้จะประกอบไปด้วย เลือดสดเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับน้ำเชื่อม แต่จะมีความข้นและความหนืดมากกว่าเลือดปกติ ซึ่งหนองชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นกับแผลที่เพิ่งเป็น หากเกิดหนองชนิดนี้หลังจากที่เป็นแผลได้ 2-3 ชั่วโมง แสดงว่าแผลนั้นเกิดการฟกช้ำ

2. Serous drainage

หนองชนิดนี้เป็นหนองที่ประกอบไปด้วยโปรตีน เซลล์เม็ดเลือดขาว และเซลล์สำคัญอื่นๆ ที่ร่างกายมักจะใช้ในการรักษาตัวเอง หนองชนิดนี้มีลักษณะใส และโปร่งแสงคล้ายกับน้ำ หากมีหนองชนิดนี้ที่แผลมากเกิดไป อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าบริเวณแผลมีเชื้อโรคที่เป็นอันตรายอยู่บริเวณนั้น

3. Serosanguineous drainage

หนองชนิดเป็นหนองที่ผสมกันระหว่างหนองสองชนิดข้างต้น ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด โดยหนองชนิดนี้มักจะมีสีชมพูออกแดง มักจะเกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนผ้าพันแผล

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ แผลหนอง

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตาตุ่มคล่ำดำทำไงดีแก้ไข ด้วย 4 วิธี นี้ทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

ตาตุ่มคล่ำดำทำไงดีแก้ไข ด้วย 4 วิธี นี้ทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

แช่เท้าในน้ำอุ่น

การแช่เท้าในน้ำอุ่นเป็นการช่วยให้ผิวหนังกำพร้าอ่อนตัวลงและง่ายต่อการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป หากจะใช้รักษาตาตุ่มด้าน ให้ผสมน้ำอุ่นในกะละมัง ในปริมาณที่พอให้ท่วมตาตุ่ม จากนั้นฝานมะกรูดลงไปในน้ำอุ่นเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายแล้วแช่เท้าลงไป ระหว่างแช่ค่อยๆ นวดและขัดเบาๆ ด้วยเกลือขัดผิว นอกจากจะช่วยลดอาการตาตุ่มด้านแล้วยังช่วยกำจัดแบคทีเรีย และกลิ่นเท้าเหม็นได้อีกด้วย

ขัดด้วยหินพัมมิส

หินพัมมิส เป็นหินที่เกิดจากการประทุของภูเขาไฟแล้วเย็นตัวอย่างรวดเร็วจึงทำให้มีรูพรุนทั้งก้อน และจากที่มีรูพรุนนี้เมื่อนำมาขัดผิว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปอย่างนุ่มนวล โดยหลังจากแช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที แล้วใช้หินพัมมิสค่อยๆ ขัดบริเวณตาตุ่มจะให้หนังกำพร้าที่มีสีดำและด้าน ค่อยๆ หลุดออกไปอย่างนุ่มนวล

ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื่น

ทุกครั้งหลังจากขั้นตอนการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ควรทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวหนังที่จะเกิดใหม่ของตาตุ่มทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาดำ และด้านอีก

สครับตาตุ่ม

ในขณะอาบน้ำทุกครั้งเมื่อเราสครับส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้ว อย่าลืมที่จะทำการสครับบริเวณตาตุ่มด้วยทุกครั้ง เพื่อลดความด้านดำของผิวหนังบริเวณนี้ และควรสครับเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดลอกออกไป จากนั้นควรบำรุงผิวหนังที่เกิดใหม่ให้กลับมาเนียนนุ่มเหมือนเดิม

สาระน่ารู้ :เกี่ยวกับตาตุ่มคล่ำดำ

4 ปัญหาเกี่ยวโรคทางเดินอาหาร ที่ชาว Work From Home ต้องรู้!!

 

4 ปัญหาเกี่ยวโรคทางเดินอาหาร ที่ชาว Work From Home ต้องรู้!!

 1.อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia)

อาการอาหารไม่ย่อย คือ ภาวะความไม่สบายที่เกิดบริเวณหน้าอกหรือใต้ลิ้นปี่ ความรู้สึกอิ่มแน่นเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังการรับประทานอาหาร อาจมีเพียงอาการเดียวหรือหลายอาการร่วมได้ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง หรือมีลมในท้อง โดยสามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือเกิดได้ทุกวัน โดยสาเหตุของอาการอาหารไม่ย่อยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ได้แก่ การรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป โดยเฉพาะอาหารรสจัดและไขมันสูง  ดื่มแอลกอฮอล์ กินช็อกโกแลต ดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมมากเกินไป การสูบบุหรี่ รวมไปถึงความวิตกกังวลหรือความเครียดด้วยเช่นกัน

2.โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome: IBS)

โรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่มีภาวะการทำงานของลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส และปวดท้อง ร่วมกับการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับกับท้องเสีย อีกทั้งยังเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อย ในปัจจุบันนั้น ยังไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้ชัดเจน แต่พบว่าเพศหญิงมีแนวโน้มเป็นโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น มีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นโรคลำไส้แปรปรวน และผู้ที่มีความเครียดสะสมและมีความวิตกกังวลสูง

ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการเหล่านี้สามารถหายได้จากการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารหรือการลดความวิตกกังวลและความเครียดลง ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยการใช้ยา แต่อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ร่วมกับมีเลือดออกทางทวารหนัก รวมถึงมีน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยยืนยันตั้งแต่ต้นว่าผู้ป่วยเป็นเพียงโรคลำไส้แปรปรวน ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

3.ท้องผูก (Constipation)

ภาวะท้องผูก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยถึงประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั่วไป ซึ่งอาการท้องผูกนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจหมายถึงการที่ต้องใช้แรงและเวลานานเพื่อเบ่งถ่ายอุจจาระ บางคนอาจหมายถึงความถี่ของการถ่ายอุจจาระหรือการถ่ายอุจจาระนานๆ ครั้ง บางคนอาจหมายถึงความรู้สึกเหมือนยังถ่ายไม่สุดเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว หรือบางคนอาจหมายถึงการมีอาการปวดท้องหรือท้องอืดร่วมกับอาการท้องผูกด้วย  

สาเหตุของอาการท้องผูกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบปฐมภูมิ ที่มักเกิดจากสรีรวิทยาของการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป และแบบทุติยภูมิ ที่มีสาเหตุจากปัจจัยบางอย่าง เช่น ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด โรคทางต่อมไร้ท่อ และโรคทางระบบทางเดินอาหาร 

4.มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer)

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในลำไส้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลง เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจนควบคุมไม่ได้ และไม่ได้รับการรักษา จนทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายของระบบทางเดินอาหารได้ในที่สุด ในประเทศไทยพบเป็นอันดับ 3 ของโรคมะเร็งทุกชนิด พบมากในผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หากเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว มักพบอาการท้องอืด ท้องเสียสลับกับท้องผูก มีเลือดปนมาในอุจจาระ ซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดเบ่งบริเวณทวารหนักคล้ายปวดอุจจาระตลอดเวลา อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง

สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดเช่นเดียวกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่มีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นั่นก็คือ ผู้ป่วยที่มีประวัติพบเนื้องอก (Polyps) ในลำไส้ มีภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะเนื้อแดงที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูง การใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ การรับประทานอาหารประเภทปิ้ง/ย่าง อาหารหมักดองเป็นประจำ รวมถึงสารเคมีจากผักที่ล้างไม่สะอาด ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษและมีการตกค้างที่บริเวณลำไส้ รวมไปถึงอาจมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย

สาระน่ารู้:เกี่ยวกับโรคทางเดินอาหาร


วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

4วิธี แก้การเป็นสิวที่รักแร้

 4 วิธี แก้การเป็นสิวที่รักแร้ 

วิธีรักษาสิวที่รักแร้

           1. หากสิวเกิดจากอาการขนคุด ควรสะกิดให้รูขุมขนเปิดออก ด้วยการนำเอาปลายเข็มหมุดเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ให้สะอาด แล้วค่อย ๆ ใช้แหนบดึงหรือเขี่ยเอาออก จากนั้นจึงแต้มด้วยยาทาสิวเพื่อลดการอักเสบ

          2. ใช้ครีมและโลชั่นแต้มสิวทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพียงแต้มลงไปบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิวเป็นประจำ ก็จะช่วยรักษาสิวบริเวณรักแร้ได้เช่นเดียวกัน

          3. หลีกเลี่ยงการบีบเค้นสิว ขัดถูผิวใต้วงแขนที่รุนแรง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง บวมอักเสบได้มากกว่าเดิม

           4.หากมีอาการเจ็บมากหรือมีสิวค่อนข้างใหญ่ ควรเดินทางไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจวิเคราะห์และรักษาสิวได้อย่างถูกต้อง

          วิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดสิวบริเวณรักแร้

           1. เมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำ ทำความสะอาด โดยใช้ใยบวบขัดถูคราบเหงื่อขี้ไคลที่ติดอยู่ให้หมดเกลี้ยงแล้วเช็ดให้แห้ง อย่าปล่อยให้เสื้อผ้าและผิวหนังเกิดการอับชื้น หมักหมมเป็นเวลานาน ๆ เพราะสิวอาจกลับมาเกิดใหม่ได้

           2.ไม่ควรลูบสัมผัสผิวใต้วงแขนบ่อย ๆ เพราะมือของเราในวัน ๆ หนึ่งหยิบจับนู่นนี่ตลอดทั้งวัน จึงทำให้แบคทีเรีย ฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่าง ๆ เกาะติดอยู่ตามซอกเล็บและนิ้วมือเป็นจำนวนมาก

          3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและอ่อนโยนต่อผิวหนัง เช่น สารส้ม แป้งระงับกลิ่นกาย หลีกเลี่ยงโรลออนที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สารเคมีและแอลกอฮอล์ไว้จะดีที่สุดจ้า

          4.เมื่อได้ทราบทั้งสาเหตุและวิธีแก้สิวบริเวณรักแร้เหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปลองทำตามกันอย่างสม่ำเสมออีกด้วย รับรองว่าช่วยลดปัญหาสิวบุกรักแร้ได้อย่างแน่นอนจ้า

สาระน่ารู้เกี่นวกับ:สิวที่รักแร้ 

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2564

อายุ 30 ปีขึ้นไปควร ระวัง 4 โรค “ต้อ” ทำร้ายดวงตา

 อายุ 30 ปีขึ้นไปควร ระวัง 4 โรค “ต้อ” ทำร้ายดวงตา

ต้อลม (Pinguecula) 

ลักษณะจะเป็นเนื้อนูนที่เยื่อบุตาด้านข้างกระจกตาหรือตาดำ จะอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva) ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณหัวตาด้านในบริเวณใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้ เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้น จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามากขึ้น สาเหตุมาจากรังสียูวี เช่น จากแสงแดด และเมื่อโดนลมหรือฝุ่นจะทำให้เคืองตามากขึ้นได้จากการอักเสบหรือผิวตาแห้งง่าย

พบได้ในทุกเพศทุกวัยพบได้มากในประเทศเขตร้อน เพราะสัมพันธ์กับการเจอแดด โดยส่วนใหญ่อายุที่พบจะมากกว่า 30 ปีขึ้นไป

อาการที่เกิดขึ้นคือ

- เคืองตา

- แสบตา

- คันตา

- ตาแดงอักเสบ

การรักษาต้อลมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากต้อมีขนาดเล็ก จะไม่รู้สึกระคายเคืองนัก การรักษาในระยะนี้แพทย์จะแนะนำให้เน้นการป้องกัน เพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้น โดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีกิจกรรมนอกอาคาร เพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลาม ถ้ามีอาการระคายเคืองหากเกิดการอักเสบแดง แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ลดอาการอักเสบ

ต้อเนื้อ (Pterygium)

มีลักษณะเป็นเนื้อสามเหลี่ยม โดยมีหัวอยู่ที่กระจกตา เนื้อเยื่อเหมือนเยื่อบุตาซึ่งมีเส้นเลือดวิ่งเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ จะแดงมากน้อยขึ้นอยู่กับมีปริมาณเส้นเลือดบริเวณต้อเนื้อและการอักเสบ ต้อเนื้อส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้เช่นเดียวกัน ต้อเนื้อจะเกิดจากการถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

มักพบในคนที่อาศัยในเขตอากาศร้อน ใช้ชีวิตประจำวันกลางแจ้ง หรือโดนแสงแดดในปริมาณมาก 

ถ้าต้อเนื้อมีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตา และมีขนาดใหญ่ อักเสบเรื้อรัง รวมถึงมีการมองเห็นที่แย่ลงเพราะต้อไปกดกระจกตา แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา ถึงจะผ่าตัดออกแล้วแต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นอีก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยและผู้ที่ยังคงได้รับรังสี UV อย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์มักผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเองหรือเยื่อหุ้มรกที่เตรียมพิเศษ ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันโดยอาจใช้วิธีเย็บเนื้อเยื่อหรือใช้ Fibrin Glue การป้องกันจะเหมือนต้อลม คือ ควรหลีกเลี่ยงแดดจ้า โดยเฉพาะช่วยสายถึงบ่ายต้น ๆ หากทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้ง และพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลม ฝุ่น ควัน ที่ส่งผลทำให้กระตุ้นการอักเสบระคายเคืองมากขึ้นได้

ต้อกระจก (Cataract)

การเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นลง มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุกับดวงตา หรือการได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น 

ทุกคนมีโอกาสเป็นต้อกระจกตามวัยเพราะความเสื่อมของร่างกาย อาจเป็นเร็วช้าต่างกัน 

อาการที่พบ คือ

- มองเห็นเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง

- เห็นสีเพี้ยน

- เห็นภาพซ้อน

- ตามัวในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน

- เมื่ออยู่กลางแดดตาจะสู้แสงไม่ได้ 

ยังไม่มีการรักษาด้วยการกินยาหรือหยอดตา เมื่อสายตามัวลงจะมีผลต่อการใช้ชีวิตควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ปัจจุบันวิธีที่เป็นมาตรฐานที่นิยมคือ วิธีสลายต้อกระจกด้วยเครื่องสลายต้อและใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Phacoemulsification with Intraocular Lens) โดยส่วนใหญ่ใช้เพียงแค่ยาชาเฉพาะที่ ผ่าตัดเร็ว แผลมีขนาดเล็ก กลับมามองเห็นได้เร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ทดแทนเมื่อนำต้อกระจกออกแล้ว ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายชนิดตามความต้องการของคนไข้ มีทั้งเลนส์ที่ชัดระยะเดียว มองไกลได้ชัดเจนมากขึ้น หรือเลนส์ชัดหลายระยะ ใส่แว่นน้อยลง กลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น หรือถ้าคนไข้มีสายตาเอียงสามารถแก้สายตาเอียงไปพร้อมกันได้จากการเลือกเลนส์ให้เหมาะสม 

การป้องกัน แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่ให้ดวงตาถูกกระแทก เลี่ยงการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และเมื่ออายุมากขึ้นควรตรวจตาปีละครั้งเพราะส่วนใหญ่การเกิดต้อกระจกสัมพันธ์กับความเสื่อมตามวัย

ต้อหิน (Glaucoma)

โรคที่มีความเสื่อมของเส้นประสาทและขั้วประสาทตาทำให้สูญเสียการมองเห็น ลานสายตาแคบลง มักพบความดันในลูกตาสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้โรคแย่ลง ส่งผลทำลายเส้นประสาทตาและขั้วประสาทตา ทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตาอย่างถาวรได้ 

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ เพราะกลุ่มใหญ่ๆของต้อหินไม่มีอาการบอกล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลันอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ต้อหินบางชนิดความดันลูกตาไม่สูง แต่ต้องคุมความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมมากขึ้น ถ้าหากไม่ทำการรักษาจะทำให้ลานสายตาค่อยๆ แคบลงจนตาบอดได้ในที่สุด 

สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุแต่ที่พบมากคืออายุ 40 ปีขึ้นไป 

ต้อหินที่พบมีทั้งต้อหินเฉียบพลันที่มีอาการปวดตาในทันทีทันใดและเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ และต้อหินเรื้อรังที่ไม่มีอาการใดๆ ต้องตรวจตาและวัดความดันลูกตาถึงสามารถรู้ได้ 

การรักษาแม้ไม่ได้ช่วยให้หายขาด แต่ช่วยควบคุมไม่ให้อาการแย่ลง ส่วนใหญ่รักษาเพื่อควบคุมความดันลูกตาให้เหมาะสม โดยมีทั้งการใช้ยาหยอดตา ยารับประทาน การใช้เลเซอร์รักษาตามชนิดต้อหิน และการผ่าตัดที่ใช้เมื่อรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของจักษุแพทย์เพื่อคุมความดันลูกตาให้อยู่ในเกณฑ์ดี ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเช็กสายตาเป็นประจำทุกปี

การได้รับการตรวจเช็กดวงตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปีเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากจะช่วยประเมินสุขภาพดวงตาได้อย่างละเอียดแล้ว หากตรวจพบว่าดวงตามีปัญหาโรคต้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น

สาระน่ารู้:เกี่ยวกับโรคของดวงตา

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

9 อาหารที่มีประโยนช์ที่ช่วยลดความเสี่ยง "มะเร็งเต้านม"

 9 อาหารที่มีประโยนช์ที่ช่วยลดความเสี่ยง "มะเร็งเต้านม"

จริงๆ แล้วไม่มีอาหารหรือรูปแบบการรับประทานใด ที่สามารถป้องกันหรือก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้นสามารถสร้างความแตกต่าง อย่างเห็นได้ชัด สำหรับความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่มีความซับซ้อน เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นอายุ พันธุกรรม Hello คุณหมอ มี อาหารลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ไปดูกันว่ามีอาหารอะไรที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้

มะเร็งกับโภชนาการ เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งนั้น มีปัจจัยมาจากหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และอาหารการกิน จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าประมาณร้อยละ 70 ของความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง รวมถึงการรับประทานอาหารด้วย เช่น การหลีกเลี่ยงบุหรี่ จำกัดแอลกอฮอล์ การควบคุมน้ำหนัก และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ดีในการป้องกันมะเร็ง รวมทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นปัจจัยที่สามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้เช่นกัน

สิ่งที่คุณรับประทานนั้นล้วนส่งผลต่อสุขภาพของคุณ รวมถึงส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งด้วย จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่รับประทานกับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน พฤติกรรมการบริโภคอาหารบางอย่าง เช่น อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนแบบดั้งเดิม ที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งที่พบได้บ่อย รวมถึงมะเร็งเต้านมด้วย แต่ในทางกลับกันการรับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

อาหารลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม มีอะไรบ้าง

มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่แตกต่างกันออกไป แถมยังมีรูปแบบที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งรูปแบบในการรักษามะเร็งเต้านมนั้นก็มีหลายแบบ ซึ่งอาหารถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ อาหารเหล่านี้ถือ เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีส่วนช่วยป้องกันพัฒนาการและการลุกลามของมะเร็งเต้านมได้

ผักและผลไม้

เบอร์รี่ต่างๆ

อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ เช่น เมล็ดพืช ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว

ผลิตภัณฑ์จากนม

ไขมันที่ดีจากธรรมชาติ

ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีและวิตามินอื่นๆ

เครื่องเทศที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ เช่น ขมิ้น กระเทียม

พืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ผักใบเขียวปรุงสุก มันเทศ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

แอลกอฮอล์

น้ำตาล

ไขมัน

เนื้อแดง

อาหารแปรรูป

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผักและผลไม้ หรือการลดอาหารที่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์ อาจมีส่วนช่วยในการ ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้ยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ซึ่งเป็นโรคที่เพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งอื่นๆ ได้อีกด้วย

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:มะเร็งเต้านม


5 เหตุที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผล

5 เหตุที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผล

1.เปรียบเทียบกับหุ่นของคนอื่น

แน่นอนว่าก่อนลดน้ำหนัก ผู้หญิงหลายคนจะมีบุคคลต้นแบบที่เอามาเป็นแรงกำลังใจในการลดน้ำหนัก ซึ่งก็อาจจะทำตามวิธีของบุคคลเหล่านั้นไปเสียทุกอย่าง จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบหุ่น และเมื่อการลดน้ำหนักที่ใช้วิธีเหมือนกับบุคคลตัวอย่างไปเสียทั้งหมดไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้ ก็อาจทำให้หมดกำลังใจไปเสียดื้อๆ ได้ ดังนั้นเมื่อต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกับหุ่นของตัวเองและบุคคลที่เราเอามาเป็นตัวอย่างในการลดน้ำหนัก เนื่องจากแต่ละคนมีรูปร่าง รวมทั้งพันธุกรรมของกล้ามเนื้อแตกต่างกัน

2.ตัดคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหาร

สาวๆ หลายคนเชื่อว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผลคือการตัดคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหาร ซึ่งมื้ออาหารของผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักประมาณ 90% จะลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง แล้วหันไปดื่มน้ำผลไม้ หรือกินขนมหวานชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทน แต่บอกเลยว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการลดน้ำหนัก เพราะคาร์โบไฮเดรตจัดเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ หากขาดสารอาหารชนิดนี้ จะส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยง่ายและส่งผลต่อการคิดไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นจะทำให้ร่างกายไม่มีแรงมากพอต่อการออกกำลังกาย อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมการกินที่มากจนเกินควบคุมได้อีกด้วย

3.กินอาหารน้อยเกินไป

การกินอาหารที่น้อยลงไปจากเดิม ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดี ในทางตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้สาวๆ เสียเวลาไปกับการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะหลักการวิทยาศาสตร์ในการลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักนั้น จะมีเพียงสูตร CICO หรือ Calories in, Calories out นั่นก็คือ อยากลดน้ำหนักให้กินน้อยกว่าที่ใช้ อยากเพิ่มน้ำหนักให้กินเยอะกว่าที่เบิร์น ส่วนการใช้สูตรกินวันละ 1,000 แคลอรี แทบจะไม่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักระยะยาวเลย

4.วัดความสำเร็จด้วยตราชั่ง

การเอาแต่หมกมุ่นกับตัวเลขบนตราชั่ง โดยชั่งน้ำหนักทั้งเช้าและเย็น แทบจะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะตราบใดที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาแม้เพียงไม่กี่ขีด ก็จะส่งผลให้เกิดความเครียดตามมา และอาจทำให้ระบบอื่นๆ ภายในร่างกายได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรเน้นที่สุขภาพและรูปร่างจะดีที่สุด

5.ตั้งเป้าหมายเพื่อคนอื่น

การลดน้ำหนักที่ทำไปเพื่อคนอื่น หรือเพื่อความพึงพอใจของคนอื่น ไม่เพียงแต่จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความกดดันและทำร้ายสุขภาพของตัวเองโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะมีเป้าหมายใดในชีวิต จำเป็นที่จะต้องทำเพื่อตัวเอง เพราะเราเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมีความสำคัญต่อชีวิตอย่างไร และต้องประสบความสำเร็จแค่ไหนจึงจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเราเอง

สาระน่ารู้สำหรับ:คุณผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

5 อาหารที่แม่เพิ่งคลอดไม่ควรกิน

 5 อาหารที่แม่เพิ่งคลอดไม่ควรกิน

เมนูอาหารสำหรับคุณแม่ที่คลอดลูกมาใหม่นั้น จะมีด้วยกันหลายเมนูที่ให้ประโยชน์ทั้งการบำรุงสุขภาพของคุณแม่ กระตุ้นให้มีน้ำนมมากขึ้นและเป็นผลดีต่อลูกน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีเมนูต้องห้ามที่คุณแม่ไม่ควรรับประทานอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพของตัวเองแล้ว ยังอาจส่งผลไปกับน้ำนมและทำร้ายสุขภาพของลูกได้อีกด้วย

1.อาหารหมักดอง

อาหารหมักดองจะอุดมไปด้วยสารเคมีต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการดองและรักษารูปแบบของอาหารไว้ได้อย่างยาวนาน จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพของแม่และลูกน้อยโดยตรง ถ้าคุณแม่ต้องการรับประทานอาหารหรือผลไม้ประเภทนี้ ควรละเว้นไปก่อน โดยเฉพาะแม่ที่ให้นมลูกเอง เพราะจะส่งผลเสียทำให้ลูกน้อยเกิดปัญหาที่ระบบทางเดินอาหารและเกิดท้องเสียได้ง่าย

2.อาหารรสจัด

แม้ว่าคนไทยจะชื่นชอบอาหารรสจัดที่จะต้องได้รับประทานแทบทุกมื้อ จึงจะทำให้รู้สึกดี แต่สำหรับคุณแม่ที่คลอดลูกมาใหม่และให้นมลูกเอง ควรเลี่ยงอาหารรสจัดทุกประเภท ไม่ว่าจะเผ็ดจัด, เค็มจัด, เปรี้ยวจัด หรือหวานจัด เพราะอาหารเหล่านี้มักจะก่อให้เกิดแก๊สภายในกระเพาะอาหาร จึงอาจทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายตัวและส่งผลไปกับน้ำนม ทำให้ลูกน้อยไม่อยากกินนม เพราะรสชาติของนมจะเปลี่ยนไปและอาจทำให้ท้องเสียได้

3.เครื่องดื่มอันตราย

เครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อทั้งสุขภาพของแม่และลูกน้อย คือ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงอย่างกาแฟและน้ำอัดลม รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะส่งผลเสียทำลายสุขภาพของคุณแม่หลังคลอดมากกว่าคนทั่วไปเป็น 2 เท่า พร้อมส่งผลเสียไปสู่ลูกน้อยที่ดื่มนมของคุณแม่ โดยกระทบต่อพัฒนาการ สมอง และทำให้ลูกเลี้ยงยากมากขึ้น

4.ผักบางชนิด

ผักบางชนิดควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด เช่น ดอกกะหล่ำ เพราะเป็นหนึ่งในผักที่สร้างแก๊สภายในกระเพาะอาหารได้มาก เมื่อรับประทานแล้วจึงจะทำให้รู้สึกปวดท้องและทำให้ทางเดินอาหารของเด็กระคายเคือง หรืออาจส่งผลเสีย กลายเป็นแก๊สภายในกระเพาะอาหารของเด็ก จนทำให้เกิดปัญหากระเพาะอักเสบได้อีกด้วย

5.อาหารไม่สุก

อาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกหรืออาหารดิบทุกประเภทควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อน แม้แต่ซูชิปลาดิบก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน เพราะอาจส่งผลเสียไปหาลูกน้อยผ่านทางนมแม่ได้ โดยเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย สารเคมีอันตรายบางชนิด และพยาธิที่ส่งต่อไปหาลูกน้อยได้โดยตรง

สำหรับคุณแม่ที่คลอดบุตรมาใหม่ เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม คือ เรื่องอาหาร โดยเฉพาะคุณแม่ที่จะต้องให้นมบุตรเอง ควรหลีกเลี่ยงอาหารทั้ง 5 ประเภทนี้ เพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพของทั้งคุณแม่และลูกน้อยของคุณ จนอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้

3 โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นกับคนทำงานออฟฟิตควรรู้พร้อมวิธีแก้รักษาง่ายๆ

3 โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นกับคนทำงานออฟฟิต รู้วิธีแก้รักษาง่ายๆ

ในช่วงที่หลายๆ คนต้องหันมาทำงานที่บ้าน และมักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่เกิดขึ้นกับมือได้เลย ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมเอา 3 โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นกับคนทำงานมาแชร์ให้คนทำงานทุกคนได้ทราบกันค่ะ พร้อมทั้งระบุถึงสาเหตุและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคดังกล่าวมีความรุนแรงกว่าเดิม จะมีโรคอะไรบ้างนั้นไปติดตามอ่านพร้อมๆ กันเลย

1.Trigger Finger โรคนิ้วล็อค

สาเหตุของโรคนิ้วล็อค

โรคนิ้วล็อคมีสาเหตุมาจากการใช้งานมือมากเกินไป หรือบางครั้งก็เกิดจากการใช้งานมืออย่างไม่ถูกต้อง เช่น การจับสิ่งของ หรือการเกร็งนิ้วมือเป็นเวลานานจนทำให้เกิดอาการอักเสบที่บริเวณโคนนิ้วมือ รวมทั้งเกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ทำหน้าที่งอนิ้วมือ ดังนั้นเมื่อปลอกหุ้มเอ็นเกิดการอักเสบก็จะเกิดการหดตัว ทำให้เส้นเอ็นในปลอกประสาทถูกล็อค และไม่สามารถงอหรือเหยียดนิ้วได้

วิธีการรักษาโรคนิ้วล็อค

ในส่วนของวิธีการรักษาโรคนิ้วล็อคที่เกิดขึ้นในระยะแรกนั้น แพทย์จะทำการรักษาเพื่อให้หายอาการอักเสบด้วยการให้ผู้ป่วยกินยา หรืออาจใช้วิธีการฉีดยาที่ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องรับการผ่าตัด ทั้งนี้หากผู้ป่วยปล่อยไว้นานจนถึงขั้นล็อคและมีอาการปวดมากหรือไม่สามารถงอและเหยียดนิ้วได้ รวมถึงการฉีดยาไม่เกิดผล แพทย์อาจจะพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อขยายปลอกหุ้มเอ็นที่มีปัญหาให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

2.De Quervain’s Tenosynovitis โรคเอ็นข้อมืออักเสบ

สาเหตุของโรคเอ็นข้อมืออักเสบ

สำหรับโรคเอ็นข้อมืออักเสบ ถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในกลุ่มผู้ทำงาน ซึ่งสาเหตุมาจากการใช้มือทำงานอย่างหนัก จนถึงขั้นทำให้เกิดอาการอักเสบที่เอ็นบริเวณข้อมือทางด้านหลังฝั่งนิ้วหัวแม่มือ สร้างความเจ็บปวดที่บริเวณดังกล่าวอย่างมากเมื่อกระดกนิ้วหัวแม่มือ

วิธีการรักษาโรคเอ็นข้อมืออักเสบ

วิธีการรักษาโรคเอ็นข้อมืออักเสบในระยะแรกจะใช้วิธีการประคบเย็นบ่อยๆ แล้วตามด้วยการขยับมือเบาๆ เพื่อให้เอ็นบริเวณข้อมือมีการยืดตัว แต่ไม่ควรทำอย่างรุนแรง ทั้งนี้ควรพักการใช้งานมือข้างที่เอ็นข้อมืออักเสบ เพื่อให้อาการกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว

3.Carpal Tunnel Syndrome โรคพังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือ

สาเหตุของโรคพังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือ

ในส่วนของสาเหตุของโรคพังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือ เกิดจากการที่บริเวณข้อมือมีช่องว่างจำกัด และบริเวณดังกล่าวนั้นมีเส้นประสาทเส้นใหญ่อยู่ ซึ่งหากใช้ข้อมืออย่างหนัก ก็จะทำให้เยื่อหุ้มเอ็นเกิดการอักเสบ จะทำให้เกิดพังผืด จนไปกดเส้นประสาที่ข้อมือ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดและชาที่มือ มืออ่อนแรง และสำหรับบางคนที่มีอาการหนัก สามารถสังเกตอาการได้จากการดูบริเวณเนินพระจันทร์ ซึ่งจะมีอาการชานิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง บางส่วนจะมีอาการชาที่นิ้วนางร่วมด้วย

วิธีการรักษาโรคพังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือ

สำหรับวิธีการรักษาโรคพังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือในระยะแรก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการฉีดยาหรือใส่ปลอกข้อมือ พร้อมทั้งให้ลดการใช้งานข้อมือให้น้อยลง โดยที่ยังไม่ใช้วิธีการรักษาแบบผ่าตัด แต่หากมีพังผืดไปกดเส้นประสาทมากๆ จนทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเนินพระจันทร์ลีบฝ่อและหายไป จนส่งผลให้มืออ่อนแรงและหยิบจับสิ่งของไม่ได้ ก็จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเพื่อขยายช่องเส้นประสาท

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 3 โรคยอดฮิตที่เกิดกับคนทำงาน เชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจจะกำลังเผชิญกับโรคใดโรคหนึ่งดังที่กล่าวมา แต่ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลมากจนเกินไป แต่ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป พร้อมทั้งลดการใช้งานมือให้น้อยลง เพื่อที่จะสามารถบรรเทาอาการปวดและเพื่อให้มือสามารถกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ:โรคคนทำงานออฟฟิต


วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2564

วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา วิธีแก้ปวดหลัง ที่คุณเองก็ทำได้

วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา วิธีแก้ปวดหลัง ที่คุณเองก็ทำได้

วิธีแก้ปวดหลัง มีด้วยกันมากมายหลายวิธี แต่รู้ไหมคะว่า วิธีที่ง่ายสุดๆ แถมไม่ต้องเสียสตางค์ก็คือการ ออกกำลังกาย แต่จะมีท่าไหนบ้าง มาดูกัน

ก่อนอื่น เราต้องรู้ถึงสาเหตุที่ทําให้ปวดหลังประการหนึ่งคือ อาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง เนื่องจากการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ถูกต้องในชีวิตประจําวัน การหักโหมออกกําลังกายหรือเล่นกีฬา

บางประเภท ฉะนั้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และนี่คือ เทคนิคการเยียวยาอาการปวดหลังเบื้องต้นที่สามารถทําเองได้ที่บ้านจาก Sport Injury Bulletin ประเทศสหรัฐอเมริกา

-ใช้น้ำแข็ง

ระคบด้วยถุงน้ำแข็ง (Ice Pack) บริเวณที่เป็น เพื่อบรรเทาอาการปวด ค่อยๆ เลื่อนถุงน้ำแข็ง ไปตามแนวหลังคล้ายการนวด (หรืออาจให้คนที่บ้านช่วยได้) ประมาณ 12 นาที ถึงแม้ว่าน้ำแข็งจะไม่ได้ทําให้หายปวด แต่จะช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อโดยรอบ

-ยืดเหยียดเล็กน้อย

การยืดเหยียดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนทั้งสองอยู่ข้างลําตัว

เกร็งหน้าท้อง กดแผ่นหลังให้ติดพื้น ค้างท่าไว้ ประมาณ 12 วินาที เป็นท่าง่ายๆ ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

-เวิร์คเอ๊าต์ช่วงขา

ท่านอนยกขาจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ หลังส่วนล่างให้แข็งแรงขึ้นได้ โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนสองข้างอยู่ข้างลําตัว

ยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับยกขาซ้ายขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทําได้

ค้างท่าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ จากนั้นกลับสู่ท่าเดิม แล้วทําสลับข้าง นับเป็น 1 ครั้ง

ทําซ้ำ 10 ครั้ง นับเป็น 1 เซต ทําประมาณ 2 เซต

ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

นายแพทย์บุญวัฒน์ จะโนภาษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา กล่าวว่า “โดยปกติแล้ว กล้ามเนื้อแผ่นหลังของคนเราจะถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทําให้เกิดอาการตึงของกล้ามเนื้อ ทําให้เวลานั่งนานๆ เช่น นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือขยับตัว เปลี่ยนอิริยาบถ จะเกิดอาการปวดล้าบริเวณกลางหลังและปีกหลัง”

โดยแนวทางป้องกันอาการปวดหลังที่ดีที่สุดคือ การหมั่นฝึกออกกําลังกายเพื่อความ แข็งแรงและสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลัง กระดูกสันหลัง วันนี้มีวิธีบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลัง กระดูก สันหลัง ซึ่งท่าบริหารเหล่านี้จะช่วยยืดและผ่อนคลายเส้นเอ็นกระดูกสันหลัง ทําให้คุณไม่ต้องกังวลกับอาการปวดหลังอีกต่อไป

Step 1

ท่าเตรียม นอนหงายลงบนพื้น

ท่าปฏิบัติ งอเข่าข้างหนึ่งเข้าหาลําตัว ใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่า ค้างไว้ นับ 1-10 ทําจนครบ 10 เซต ท่าเตรียม นอนหงายลงบนพื้น

Step 2

ท่าปฏิบัติ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นทํามุม 45 องศากับพื้น โดยพยายามเหยียดขาให้ตรง ค้างไว้ นับ 1-10 ทําจนครบ 10 เซต

แค่ทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ ก็จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ค่ะ

สาระน่ารู้