วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สายเกาห้ามพลาดทาน กิมจิ กับข้อควรระวังก่อนทาน

สายเกาห้ามพลาดทาน กิมจิ กับข้อควรระวังก่อนทาน

กิมจิเป็นของหมักดอง

อย่าลืมว่ากิมจิเป็นอาหารหมักดองที่มีการเติม “เกลือ” เป็นการส่วนผสมอย่างหนักหน่วง ดังนั้นรสเค็มจากโซเดียมจึงเป็นเรื่องที่ควรระวัง หากคุณเป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

กิมจิมีรสเผ็ด

รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และลำไส้ หากรับประทานกิมจิที่มีรสเผ็ดจัดในปริมาณมาก การระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ได้เช่นกัน

กินกิมจิอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

การกินกิมจิในประมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากกิมจิได้อย่างเต็มที่ คุณสามารถกินกิมจิในปริมาณเพียงเล็กน้อยเป็นอาหารกับแกล้มระหว่างรับประทานซูชิ หรือกินกิมจิในรูปแบบของซุปกิมจิที่กินควบคู่ไปกับเนื้อสัตว์และเต้าหู้ และข้าว ก็จะทำให้มื้ออาหารนั้นมีสารอาหารครบ ลดการระคายเคืองของกระเพาะอา

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

อยากงดอาหาร งดอาหาร มื้อไหน เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด พร้อมสุขภาพที่ดีด้วย

อยากงดอาหาร งดอาหาร มื้อไหน เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด พร้อมสุขภาพที่ดีด้วย

นพ.นันทพล แนะนำให้งดมื้อเช้า แม้ว่าเราจะเคยได้ยินมาว่ามื้อเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน แต่จากการศึกษาใหม่พบว่า ในช่วงเช้าฮอร์โมนเกรลิน หรือฮอร์โมนที่ทำให้เราหิวจะหลั่งออกมาไม่มาก เราจึงไม่ค่อยรู้สึกหิวมากในช่วงเช้า และหากเรารับประทานอาหารเน้นให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่ไม่าดีต่อร่างกายมากเกินไป (แป้งและน้ำตาล เช่น ขนมปังขาวทาแยมที่น้ำตาลสูง คอนเฟลก กราโนล่าเคลือบน้ำผึ้งหรือช็อกโกแลต) อาจไม่ดีต่อร่างกายนัก

เราสามารถรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกายได้ โดยมาจากผักตระกูลหัวที่แม้จะมีแป้ง แต่ก็มีใยอาหารสูงด้วย รวมถึงผลไม้ที่ไม่หวานมาก

ลองกินมื้อเช้ากับมื้อกลางวันรวบเป็นมื้อเดียว แล้วกินมื้อเย็นอีกทีไม่เกิน 2 ทุ่ม จะทำให้เราได้ทำ IF (Intermittent Fasting) ได้ในสูตร 10/14 หรือ 16/8 ได้ (จำนวนชั่วโมงที่งดมื้ออาหาร/กินอาหารได้)

หากมีการงดมื้ออาหาร ให้ร่างกายได้พักจากการรับอาหารไว้บ้าง จะส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญไขมันร่างกาย

งดมื้ออาหาร อาจส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

ในผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี การรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ เป็นเรื่องที่แนะนำ เพราะฮอร์โมนในร่างกายยังไม่คงที่ และยังต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโตมากกว่าวัยอื่นๆ แต่คนที่อายุเลย 20 ปีไปแล้ว อาจไม่ได้ต้องการปริมาณอาหารมากเท่าเดิม การรับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย จะเสี่ยงอ้วน และโรคอันตรายอย่างเบาหวาน ความดัน ได้มากกว่า

จริงๆ แล้วเราสามารถลดจำนวนมื้ออาหารลงได้ โดยแนะนำให้ลองลดจำนวนมื้ออาหารลงเป็น 2 มื้อต่อวัน หรือในบางคนที่ลองรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวต่อวัน (One Meal A Day หรือ OMAD) มีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่า สามารถช่วยชะลอวัย และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งได้ด้วย แต่ถ้าใครกลัวหิว สามารถลองเริ่มลดเหลือ 2 มื้อต่อวันดูก็ได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ แสงแดดทำให้เกิดสิวได้จริงหรือไม่

สาระน่ารู้ แสงแดดทำให้เกิดสิวได้จริงหรือไม่

ความจริงก็คือ แสงแดดส่งผลกระทบต่อผิวพรรณโดยตรง โดยเฉพาะใครที่มีปัญหาสิว ใช้ยารักษาสิวอยู่ ต้องเลี่ยงออกไปเผชิญแสงแดดโดยตรง เนื่องจาก รังสีอัลตราไวโอเล็ต เมื่อไปกระทบเข้าสู่ผิวหนังจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกระตุ้นให้เกิด  “พอร์ไฟริน” หรือกระบวนการที่เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนรับรังสีอัลตราไวโอเลตจนก่อเกิดอาการอักเสบนั่นเอง

ผลกระทบทางอ้อมของแสงแดดก็คือ เมื่ออากาศร้อนย่อมหนีไม่พ้นที่จะเกิดเหงื่อ และการอุดตันของเหงื่อในรูขุมขน และนั่นเป็นที่มาของสิวผด เป็นสิวลักษณะแรกที่จะขึ้นเมื่อโดนแดด ยิ่งถ้าไม่รีบดูแลสิวผดจนเกิดการสะสมของแบคทีเรียเชื้อสิว สิวหนอง สิวอักเสบ สิวอุดตัน จะมาทักทายทันที และสำหรับคนที่ผิวมัน ผิวผสม อย่าลืมประเด็นเรื่องผิวที่ถูกแสงแดดกระตุ้นมากๆ จะผลิตน้ำมันมากขึ้น เมื่อน้ำมันผสมกับความหนาของผิวชั้นบนทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและขัดขวางการทำงานของซีบัม ทำให้แบคทีเรียเติบโต หรือที่รู้จักกันดีในวงการสิวคือ P.Acne (Propionibacterium acne) พอ P.Acne หากมี P.Acne เป็นจำนวนมากก็จะ กระตุ้นให้อักเสบจึงเกิดเป็นแผดแดง ตุ่มหนอง อัปเลเวลเป็นสิวประเภทต่างๆ นั่นเอง

เลี่ยงแดดไม่ได้แล้วจะจัดการปัญหาสิวจากแสงแดดอย่างไร

แน่นอนว่า การเลี่ยงปะทะแสงแดดโดนตรงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแสงแดดจะยิ่งทำให้ปัญหาอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น รอยสิวที่คล้ำยิ่งขึ้น หรือปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากรังสียูวีทั้ง UVA และ UVB เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดบางเบา มีส่วนผสมของน้ำมันน้อย ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายแต่ไม่มีแอลกอฮอล์ และมีคุณสมบัติเป็น Board Spectrum Sunscreen ช่วยบำรุงผิวที่บอบบางให้คงความชุ่มชื่น รักษาผิวพร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดไปพร้อมกัน เช่น   

OXE'CURE Acne Sunscreen SPF50+ PA++++

ครีมกันแดดสำหรับผิวที่มีปัญหาสิว ผิวหน้ามัน และผิวแพ้ง่ายสูตรฟิสิคอล ปราศจากสารกันแดดชนิดเคมี 100% เข้มข้นด้วยคุณสมบัติป้องกัน 5 ประการ ใช้หลักการสะท้อนกลับของแสงเพื่อปกป้องผิวยาวนานถึง 8 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผิวที่มีปัญหาสิว ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน พร้อมคุณสมบัติควบคุมความมันตลอดวัน ผสานด้วยสารสกัดจากดอกแดนดิไลออน มีคุณสมบัติของ Anti-pollutin ปกป้องผิวจากมลภาวะ และคุณสมบัติของ Anti-inflammatory ช่วยลดการอักเสบของสิวและผิว ช่วยฟื้นบำรุงผิวหลังเผชิญแสงแดด ลดจุดด่างดำ พร้อมปกป้องผิวจากริ้วรอย อีกทั้งสารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล ยังช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน ลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย S.aureas และ P.ance สาเหตุของสิว

สูตร Mineral Base เนื้อสัมผัสบางเบา ไร้สีสังเคราะห์ ไม่มีกลิ่น พร้อมด้วย SPF50+ PA++++ และ Board Spectrum ปกป้องทุกรังสี UVA/UVB, Blue Light และ Visible Light เหมาะสำหรับการใช้ทุกวัน โดยเฉพาะสำหรับผิวที่เป็นสิวและผิวบอบบางแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบจากสถาบัน Green Leaf Laboratory ว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


4 เทคนิค การดูแลจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอย่างถูกต้อง

 

4 เทคนิค การดูแลจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอย่างถูกต้อง 

1.การทำความสะอาด

ความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การทำความสะอาดไม่เพียงพอหรือทำความสะอาดมากจนเกินไป อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย เชื้อรา จนทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นหลังจากที่เข้าห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างด้วยน้ำสะอาดและซับเบาๆให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

และทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ควรใช้น้ำล้างให้สะอาดแล้วใช้กระดาษชำระเช็ดให้แห้ง โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทวารหนัก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด และไม่ควรสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำสะอาดหรือพยายามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อมาช่วย เพราะจะทำให้เกิดการขาดความสมดุลในช่องคลอด และอาจทำให้เกิดการระคายเคือง

2.การเลือกใส่กางเกง

ประเทศบ้านเรานั้นมีอากาศร้อน การใส่กางเกงแฟชั่นรัดรูป ฟิตๆ นั้นอาจทำให้การระบายเหงื่อและความชื้นออกมาลำบาก ทำให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใส่กางเกงผ้าฝ้าย หรือกางเกงที่ใส่สบายๆไม่รัดรูปจนเกินไป

3.หมั่นดูแลในช่วงวันนั้นของเดือน

ในช่วงที่มีประจำเดือนมานั้น ถ้าเป็นไปได้แนะนำเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆหรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน คือ เช้า กลางวัน เย็น และเลือกใช้ผ้าอนามัยที่สะอาดปลอดภัยและได้มาตรฐาน และไม่ควรเก็บผ้าอนามัยไว้ในที่อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่ายและไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแผ่นเล็กๆทุกวัน จะทำให้เกิดการอับชื้น ควรใส่เฉพาะวันที่จำเป็นเท่านั้น 

4.สังเกตความผิดปกติ

สังเกตความผิดปกติต่างๆบริเวณอวัยวะเพศ ว่ามีอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง เช่น มีอาการคันในช่องคลอด ตกขาวมากจนผิดปกติ อวัยวะเพศมีกลิ่น ตกขาวมีสีที่แปลกไป หรือเวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บเหมือนปัสสาวะไม่สุด ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุ โดยไม่ต้องพยายาม “สวนล้าง” เข้าไปในช่องคลอดเพื่อทำความสะอาด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


สารปรอท ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางครีมบำรุง เสี่ยงอันตราย

สารปรอท ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางครีมบำรุง เสี่ยงอันตราย

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เตือนอันตรายจากสารปรอท พบได้มากในการผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่าสารปรอทไม่ใช่สารอันตรายตัวใหม่ที่เพิ่งใช้ในสังคมไทย โดยช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา สารปรอทเคยเป็นสารอันตรายอันดับหนึ่งของเครื่องสำอางที่ใช้ในไทยมาก่อน ซึ่งจะนิยมผสมในครีม เมื่อมีกระแสความนิยมของการมีผิวขาวเพิ่มขึ้นทำให้มีการลักลอบใช้ปรอทในเครื่องสำอางเพื่อรักษาฝ้า จุดด่างดำ หรือทำให้ผิวขาว สารปรอทเป็นสารอันตรายที่พบบ่อยสุด รองลงมาคือ สารไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งเพราะพิษของของสารปรอทนั้นมีผลกระทบต่อหลายระบบของร่างกาย

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติม พิษที่สำคัญของสารปรอทต่อร่างกาย คือ

  1. พิษต่อผิวหนัง แม้ว่าสารปรอทจะมีผลทำให้เม็ดสีลดลง แต่พบว่าอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หากใช้ในระยะยาว จะทำให้ผิวบางลง เกิดจุดดำที่ผิวเพิ่มขึ้น เกิดฝ้าถาวร หรือในบางจุดจะทำให้เกิดผิวด่างถาวร
  2. พิษต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการสั่น ปลายประสาทอักเสบ การทรงตัวผิดปกติ ชักกระตุก ซึมเศร้าหรือเกิดประสาทหลอนได้
  3. พิษต่อตับและไต ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และไตอักเสบได้ในระยะยาว
  4. พิษต่อระบบเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
  5. หากใช้ระหว่างตั้งครรภ์ สารปรอทจะดูดซึมสู่ทารก และมีความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกสมองพิการและปัญญาอ่อนได้

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรเลือกใช้เครื่องสำอางจากแหล่งที่เชื่อถือได้มากที่สุด กรณีที่ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแล้วเกิดผลข้างเคียงแนะนำให้หยุดการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันทีและรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือหากสงสัยว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้อยู่มีสารอันตรายผสมอยู่หรือไม่ สามารถส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาขอรับการตรวจสอบสารอันตรายเบื้องต้นได้ที่ สถาบันโรคผิวหนัง (โครงการตรวจสารอันตรายในเครื่องสำอาง) 420/7 ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

4.เคล็ดลับ เลี้ยงลูก ให้มีความสุขในแบบคนเนเธอร์แลนด์

4.เคล็ดลับ เลี้ยงลูก ให้มีความสุขในแบบคนเนเธอร์แลนด์

1.ปล่อยให้ลูกนอนหลับอย่างเพียงพอ

เคยมีการทดสอบเด็กทารก ถึงความแตกต่างทางอารมณ์ระหว่างเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ พบการศึกษาน่าสนใจมากทีเดียวพวกเขาพบว่า เด็กจากเนเธอร์แลนด์ หัวเราะ มีรอยยิ้ม ชอบมากอดมากกว่า มีการพักผ่อนตรงเวลา มีพฤติกรรมที่ค่อนข้างเรียบร้อยมากกว่า 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ข้อนี้มาจากการเลี้ยงดูของชาวเนเธอร์แลนด์ที่มักจะให้เด็กนอนหลับแบบมีคุณภาพและทำกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ตรงนี้มาจากนิสัยของชาวเนเธอร์แลนด์ที่มีค่าเฉลี่ยการนอนสูงถึง 8 โมงในแต่ละวัน แน่นอนว่าเมื่อทารกนอนเต็มอิ่มการงอแงก็น้อยลง พ่อแม่ก็ได้พักผ่อนมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข 

2.ไม่ได้แข่งให้ลูกต้องดีกว่าใคร

ผู้ปกครองหลายคนมักมีความคิดว่า ลูกฉันต้องดีกว่าใคร ครอบครัวฉันต้องแข่งกับคนนี้ให้ชนะ แต่ไม่ใช่ที่เนเธอร์แลนด์ ประเทศนี้นับว่ามีประชากรหนาแน่นที่สุดในยุโรปแห่งหนึ่งเลย ทำให้พวกเขาหนีไม่พ้นจากสายตาคนอื่นแน่นอน แต่พวกเขาไม่รู้สึกว่าต้องแข่งขันกับใคร งานวันเกิดไม่ต้องใหญ่โต เสื้อผ้าไม่ใช่ตัวกำหนดสถานะทางสังคม แต่กลับให้ความสำคัญกับมิตรภาพของลูกกับเพื่อนๆ แทน 

สิ่งนี้เราเอามาปรับใช้ได้เป็นการเลี้ยงดูเริ่มจากครอบครัวของเรา ทำแบบพอดี ไม่ต้องไม่อวดใคร เอาที่เราและครอบครัวมีความสุขก็พอ

3.ไม่กดดันเรื่องการเรียน

ในเนเธอร์แลนด์มองว่าการศึกษาเป็นเส้นทางที่จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาตนเอง เป็นสถานที่จะให้หาตัวตนมากกว่าการแข่งขัน การต่อระดับอุดมศึกษาก็มีให้เลือกทั้งวิชาการและสายวิชาชีพ โดยการเรียนต่อส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้เกรด คะแนนอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่สอบผ่านระดับมัธยมปลายก็เป็นพอ ประเทศนี้เน้นให้ให้โรงเรียนสร้างแรงจูงใจมากกว่า ทำให้พ่อแม่เน้นความสุขมากกว่า IQ หรือความเก่งของลูก 

ส่วนนี้อยากให้พ่อแม่ทุกคนเห็นความสำคัญในความชอบของลูกและเชื่อว่ามันสามารถทำให้เขาเลี้ยงดูตัวเองและมีความสุขได้ ชี้เส้นทางแต่อย่าบังคับให้เขาได้เลือกในสิ่งที่ชอบ 

4.ให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูก

เนเธอร์แลนด์มีกฎหมายหลายข้อที่เอื้อให้ประชากรในประเทศมีสมดุลในชีวิตการทำงานมากขึ้น ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยที่สุดในโลก ตัวคุณพ่อนิยมจัดตารางงานให้เหลือเพียง 4 วัน เพื่อให้อยู่กับลูกมากขึ้น ส่วนคุณแม่เองส่วนใหญ่ก็มีเวลามากพอที่จะไปพบปะแม่ๆ คนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนกัน 

ในประเทศไทยอาจจะมีข้อจำกัดด้านเวลาทำงานที่หลีกเลี่ยงค่อนข้างยาก แต่ก็อยากให้วางแผนอย่างน้อยในช่วงที่เด็กเพิ่งเกิดหรืออายุยังไม่เยอะ ควรจัดเวลาให้อยู่กับลูกให้มากขึ้น ให้เวลา ใช้เวลาไปกับเขาให้มากที่สุด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2564

5 สัญญาณเตือนที่ทำให้รู้ว่า แพ้ยาสระผม

5 สัญญาณเตือนที่ทำให้รู้ว่า แพ้ยาสระผม

แสบหนังศีรษะและมีรอยแดง

หากใครที่ใช้ยาสระผมแล้วรู้สึกแสบๆคันๆตรงหนังศีรษะตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ใช้ ทั้งๆที่เราไม่ได้มีแผลบนหนังศีรษะ อาการแบบนี้เป็นอาการของคนแพ้แชมพู เพราะในแชมพูนั้นอาจมีสารเคมีบางชนิดที่ทำให้หนังศีรษะระคายเคืองจนอักเสบ และกลายเป็นรอยแดงตรงผิวบริเวณโดยรอบ บางคนอาจมีอาการแสบด้วย

มีผดผื่นขึ้นและมีอาการคัน

นอกจากบริเวณหนังศีรษะแล้ว การมีผดผื่นหรือคันบริเวณอื่นๆตรงจุดที่โดนแชมพู เกิดจากแชมพูบางชนิดมีสาร SLS (สารลดแรงตึงผิว)และ พาราเบน (สารกันเสียในเครื่องสำอาง) ที่ไปทำลายความชุ่มชื้นและทำให้ระคายเคืองในจุดที่สัมผัสกับแชมพูโดยตรง

สิวอุดตัน สิวผด

แชมพูที่เราใช้นั้นอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวโดยตรง ซึ่งมักจะเกิดในบริเวณหน้าผาก ไรผม และขากรรไกร โดยเฉพาะสิวผดหรือสิวอุดตัน เพราะในแชมพูมีสารซิลิโคนผสมอยู่เพื่อเคลือบเส้นผมให้นุ่มลื่นแต่ในขณะเดียวกัน ซิลิโคนก็เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอุดตัน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากสารซิลิโคนในแชมพูสะสมกันและตกค้างตามรูขุมขน จนเกิดเป็นอาการแพ้แชมพูและเป็นสิวขึ้นมานั่นเอง

รังแค

เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากจะมีสะเก็ดขาวๆ เป็นขุยร่วงลงมา ยังคันอีกด้วย รังแคนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น หนังศีรษะแห้งและอักเสบรวมถึงเชื้อรา ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตหากเปลี่ยนชนิดแชมพูว่ามีรังแคเกิดขึ้นหรือไม่ หากมีควรเลิกใช้ทันที

ผมร่วง

แชมพูเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงเลย นั่นเกิดจากสารซิลิโคนในแชมพูตกค้างบริเวณโคนผม ซึ่งจะอุดตันและทำให้ผมร่วง นอกจากนั้น ผมร่วงยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆได้อีกด้วย เช่น แพ้อาหาร นอนดึก หรือพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นการสระผมตอนกลางคืน สระแล้วไม่เป่าผมให้แห้งหรือรวบผมตึงบ่อยๆ หากใครใช้แชมพูตัวไหนแล้วรู้สึกผมร่วงมากขึ้นหรือจากไม่เคยร่วงเลย แนะนำให้หยุดใช้ไปก่อน

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สาระน่ารู้ ปวดเมื่อยเท้าควรแช่น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นดี

สาระน่ารู้ ปวดเมื่อยเท้าควรแช่น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นดี

นพ. กฤษฎิ์ พฤกษะวัน สาขาศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ-เท้าและข้อเท้า โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า จริงๆ แล้วหากมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเท้า และขาจากการเดิน หรือยืนนานๆ มาตลอดทั้งวัน ควรแช่เท้า และขาใน “น้ำเย็น” เพราะน้ำเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ช่วยลดสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ จึงทำให้อาการปวดบวมจากการอักเสบของกล้ามเนื้อลดลงได้

โดยคุณหมอให้ข้อสังเกตง่ายๆ ว่า ลองดูพลาสเตอร์ปิดเท้า ปิดขาที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักเป็นแผ่นแปะที่มีฤทธิ์เย็น เพราะจะมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบปวดบวมของกล้ามเนื้อได้ดีนั่นเอง

เราควรแช่เท้าในน้ำอุ่นตอนไหน?

การแช่เท้าในน้ำอุ่นมีประโยชน์ในแง่ของการผ่อนคลาย นอนหลับง่าย เพราะน้ำอุ่นช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นหากอยากผ่อนคลายเพื่อการพักผ่อนนอนหลับให้สบายในตอนกลางคืน ลองแช่เท้าในน้ำอุ่นราว 36-38 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-15 นาที เช็ดเท้าให้แห้ง หรืออาจจะทาครีมบำรุงสำหรับเท้าด้วย จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สารอาหารที่ช่วยให้ผิวทนทานต่อรังสียูวีได้ดีที่สุด

สารอาหารที่ช่วยให้ผิวทนทานต่อรังสียูวีได้ดีที่สุด

รังสียูวีจะมีผลให้ร่างกายสร้างออกซิเจนที่มีพลัง (Active oxygen) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระขึ้นมา สารชนิดนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์เมลานินซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้าและรอยกระขึ้นมา อีกทั้งยังไปลดการสร้างคอลลาเจนจนส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อย เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่มีพลังตัวร้ายนี้ จึงควรรับประทานอาหารที่มีผลในการต้านสารอนุมูลอิสระดังต่อไปนี้

วิตามินต่างๆ

  • วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยขจัดออกซิเจนที่มีพลังที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการกระตุ้นโดยกันรังสียูวีออกจากร่างกาย อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ อัลมอนด์ ถั่วต่างๆ งา ฟักทอง อะโวคาโด และปลาไหล เป็นต้น
  • วิตามินเอ เป็นอีกหนึ่งวิตามินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยคงสภาพที่แข็งแรงของผิวหนังและเยื่อเมือก อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ แครอท ฟักทอง ปลาไหล ตับสัตว์ และชีส เป็นต้น
  • เบต้า แคโรทีน สารชนิดนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย ซึ่งจะช่วยเสริมปริมาณวิตามินเอให้แก่ร่างกาย อาหารที่อุดมไปด้วยเบต้า แคโรทีน ได้แก่ แครอท ฟักทอง บร็อกโคลี กระเทียม ส้มต่างๆ และแตงโม เป็นต้น
  • วิตามินซี ซึ่งช่วยกดการสร้างเมลานิน และอาจจะมีผลในการทำให้ผิวหนังตึงและยืดหยุ่น อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม เกรปฟรุต มะนาว มะนาวเหลือง กีวี่ สตรอว์เบอร์รี่ ผักกาดกวางตุ้ง พริกหวาน และมันฝรั่ง เป็นต้น อย่างไรก็ดี วิตามินซีเป็นวิตามินที่ไม่ทนร้อน จึงควรนำมารับประทานสดหรือปรุงโดยใช้ความร้อนในเวลาที่สั้น
  • โพลีฟีนอล โพลีฟีนอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีพลังงานสูง ซึ่งมีมากในถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ ถั่วต่างๆ มะกอก โกโก้ คาเคา กาแฟ และรำข้าว เป็นต้น

อาหารเพื่อผิวพรรณที่ควรระวังไม่รับประทาน เมื่อต้องออกแดดในระหว่างวัน

  • แม้ว่าอาหารหลายชนิด เช่น ส้มต่างๆ มะนาว มะนาวเหลือง เกรปฟรุต กีวี ลูกฟิก แตงกวา และขึ้นฉ่ายฝรั่ง จะอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ดีต่อผิวพรรณ อย่างไรก็ดี อาหารเหล่านี้มีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า ซอราเลน (Psoralen) ในปริมาณที่สูง หากรับประทานในปริมาณมาก สารชนิดนี้จะส่งเสริมให้ร่างกายดูดซับรังสียูวีได้ดี ส่งผลในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน อันจะเป็นสาเหตุให้เกิดกระและฝ้า และมีผลทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นหย่อนคล้อยได้ง่าย ดังนั้นเมื่อต้องออกแดดในช่วงกลางวันจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดังกล่าวในช่วงเวลาเช้าและกลางวัน แต่ควรรับประทานในเวลาเย็นแทนเพื่อรับวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย
  • โดยปกติเราไม่ได้ทาครีมกันแดดทั้งตัวหรือกางร่มใส่หมวกอยู่ตลอดเวลา เพราะอาการขี้เกียจก็มีเป็นครั้งคราว หากต้องการดูแลป้องกันผิวพรรณให้ใส ไร้รอยด่างดำ หรือรอยเหี่ยวย่น สิ่งสำคัญที่ไม่ต่างจากการดูแลผิวหนังจากภายนอกก็คือการดูแลผิวจากภายในด้วยอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และหลีกเลี่ยงจากการรับประทานอาหารที่เสริมให้ผิวหนังดูดซับรังสียูวีดังกล่าวมาข้างต้น
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วิธีทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพอย่างถูกต้อง

วิธีทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพอย่างถูกต้อง

ต้องยอมรับเลยว่าปัจจุบัน ครีมกันแดด กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เนื่องจากมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันผิวหมองคล้ำอย่างได้ผล แต่การใช้ครีมกันแดดนั้นหากจะหวังพึ่งแต่ส่วนผสมที่ดีอย่างเดียวคงไม่ได้ บางคนใช้กันแดดดีๆ ราคาสูง แต่ก็ทาแล้วไม่ได้ผล หน้ายังดำแดด หมองคล้ำอยู่เลย อาจเป็นเพราะทากันแดดผิดวิธีก็ได้ค่ะ ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าวิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้องและได้ประสิทธิผลที่ดีนั้นมีอะไรบ้าง

เลือก SPF ให้เหมาะสมกับกิจกรรม

SPF ย่อมาจาก Sunburn Protection Factor ซึ่งเป็นค่าของความสามารถในการปกป้องการเผาไหม้ของแสงแดดต่อผิวเรานั่นเอง ดังนั้นควรเลือกใช้ครีมกันให้เหมาะสมกับกิจกรรม เช่น หากต้องออกไปสัมผัสแสงแดดนานๆ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF30+ ขึ้นไป หากมีการสัมผัสแสงแดดบ้างในระหว่างวัน จะใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15-30 ก็ได้ และถ้าไปเที่ยวทะเล หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งตลอดเวลา ต้องทากันแดด SPF50+ ขึ้นไป รวมถึงหมั่นทาซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมงด้วย

ทาครีมกันแดดทุกวันแม้ไม่ได้ออกไปไหนเพราะไม่เพียงแค่แสงแดดเท่านั้นที่ส่งผลร้ายให้กับผิวของเรา ในแสงของหลอดไฟ หรือแม้แต่แสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์ก็สามารถสร้างความหมองคล้ำให้กับผิวเราได้เช่นกัน เพราะหลอดไฟปล่อยทั้ง UVB และ UVC ดังนั้นถึงแม้ไม่ได้ออกไปสัมผัสแสงแดดโดยตรงก็ต้องทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวกันด้วยนะคะ

ทาในปริมาณที่เหมาะสม

เพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการใช้ครีมกันแดด นอกจากเลือกค่า SPF ให้เหมาะสมกับกิจกรรมแล้วปริมาณการใช้ก็สำคัญ กันแดดทาตัวใช้ประมาณ 1 อุ้งมืออย่าให้น้อยเกินไป และควรเกลี่ยให้ทั่วที่สุด ในส่วนของใบหน้ากับลำคอขึ้นอยู่กับรูปแบบผลิตภัณฑ์หากเป็นเนื้อครีมให้บีบประมาณ 2 ข้อนิ้วมือแล้วแบ่งทาทีละครึ่ง และสำหรับเนื้อโลชั่นให้บีบลงบนฝ่ามือขนาดประมาณเหรียญ 10 แล้วแบ่งทาทีละครึ่ง

ทาก่อนออกแดด 30 นาที

แสง UV เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังและความเหี่ยวย่น การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกไปสัมผัสแสงแดด ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ครีมซึมเข้าผิวให้มากที่สุดและมีประสิทธิภาพกันแดดได้นานขึ้น แต่ถ้าหากต้องสัมผัสกับแสงแดดทั้งวัน เพื่อการปกป้องที่ดีอย่าลืมทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงนะคะ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

5 วิธีลดความดันสูงได้ง่ายๆโดยไม่ต้องกินยา

 5 วิธีลดความดันสูงได้ง่ายๆโดยไม่ต้องกินยา

1.วัดความดันโลหิตทุกวัน

เราสามารถวัดความดันโลหิตได้ด้วยตัวเอง ด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาที่น่าเชื่อถือ การมีเครื่องวัดความดันที่บ้าน สามารถบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้ดีกว่าการวัดความดันที่โรงพยาบาล และชีวิตเรามักอยู่บ้านเป็นประจำมากกว่า การวัดความดันที่อยู่ที่บ้านก็จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความดันของคนๆ นั้นได้ดีกว่า

ควรวัดความดันโลหิตเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ในเวลาตื่นนอนตอนเช้า (หลังตื่นนอน 1 ชั่วโมง) และในเวลาก่อนนอน (หากใครที่กำลังกินยารักษาอาการความดันโลหิตอยู่ ให้วัดความดันก่อนกินยาทั้งในช่วงหลังตื่นนอน และก่อนนอน)

2.ออกกำลังกาย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ความดันโลหิตของคุณกลับมาเป็นปกติ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติได้ โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง คือการออกกำลังหัวใจ (คาร์ดิโอ) การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น รู้สึกเหนื่อยหอบระหว่างออกกำลังกาย เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอโรบิก ฯลฯ

สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย อยู่ในวัยชรา หรือมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานเยอะ แนะนำการเดินเร็ว หรือแอโรบิกในท่าง่ายๆ เบาๆ ให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ไม่เหนื่อยจนเกินไป โดยแนะนำให้ออกกำลังกายครั้งละอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์หากความดันโลหิตสูงเกินกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอท ควรจะหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมอีกครั้ง

3.ลดอาหารรสเค็มจัด กินผักผลไม้มากขึ้น

อาหารรสเค็ม พบได้ในอาหารไทยทั่วไปที่มีการปรุงรสเค็มหนัก เช่น ส้มตำ ยำต่างๆ แกงไตปลา หรือเมนูอื่นๆ รวมไปถึงอาหารที่มีการใส่ซอสปรุงรสเยอะๆ เช่น สุกี้ยากี้ และอาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แฮม ไส้กรอก ปลากระป๋อง อาหารแช่แข็ง ของหมักดอง ฯลฯ ควรลดการบริโภค และลดการปรุงรสเพิ่ม

การกินเค็มจะทำให้อาการความดันโลหิตสูงแย่ลง การลดเค็ม คือการลดเกลือโซเดียมให้ต่ำกว่า 2 กรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับเกลือแกงที่เราทำอาหารกัน 1 ช้อนต่อวัน หรือถ้าเกิดเทียบกันเป็นซีอิ๊ว ซอสปรุงรส น้ำปลาก็จะตกประมาณ 4 ช้อนต่อวัน

นอกจากลดเค็มแล้ว ควรกินผักผลไม้ทดแทนให้มากขึ้น ในปริมาณ 20-30 กรัมต่อวัน ซึ่งจะสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ถึงผักและผลไม้ที่ควรกินอีกครั้ง

4.เลิกบุหรี่ ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำให้ความดันโลหิตสูงแย่ลงเช่นกัน และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย

สำหรับบางคนที่ไม่สามารถเลิกเหล้าและบุหรี่ได้ทันที ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ เนื่องจากในปัจจุบัน เรามีทั้งการทำกิจกรรมบำบัดและยาที่ทดแทนสารต่างๆ ที่ช่วยลดอาการระหว่างการเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ได้

5.กินยาตามแพทย์สั่ง พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

สำหรับใครที่เข้ารับการรักษาความดันโลหิตสูงกับแพทย์เรียบร้อยแล้ว ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอตรงเวลา และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์ประเมินอาการ และได้รับการรักษาตามอาการอย่างถูกต้องต่อไป

ประโยชน์ของการนอนกลางวันนั้นดีอย่างไร

ประโยชน์ของการนอนกลางวันนั้นดีอย่างไร

  • ช่วยลดภาระการทำงานหนักของหัวใจ ลดอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันเฉียบพลันได้
  • ช่วยลดความเครียด เพราะเมื่อสมองได้พัก จะทำให้คิดงานง่ายขึ้น ช่วยให้สมองสดใส สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น
  • ช่วยเพิ่มพลัง การที่คุณนอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะทำให้สมองอ่อนล้า การได้นอนกลางวันสามารถช่วยทำให้สมองของคุณตื่นตัวมากขึ้น ทำให้อารมณ์ดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์และช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มความพร้อมให้กับร่างกาย เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำงาน ไปออกกำลังกาย
  • ช่วยให้สมองจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดีขึ้น จดจำข้อมูลจากการทำงาน จดจำคำพูด การรับรู้สิ่งต่างๆ หรือมีทักษะการเคลื่อนไหวได้ดี

รู้ถึงประโยชน์ของการนอนกลางวันกันไปแล้ว ไปรู้ถึงโทษของการนอนกลางวันกันบ้างดีกว่า

โทษของการนอนกลางวัน

  • การนอนกลางวันเป็นเวลานานเกินไป เมื่อตื่นขึ้นอาจจะทำให้คุณยิ่งรู้สึกง่วงมากขึ้น ต้องใช้เวลากว่าร่างกายจะกลับมาตื่นตัวพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งระยะเวลาที่คุณควรนอนกลางวันคือ 10-40 นาทีเท่านั้น 
  • การนอนกลางวันเป็นประจำบ่อยๆ อาจจะทำให้คุณเป็นโรคนอนไม่หลับ ช่วงเวลาที่ควรนอนกลางวันคือเวลาบ่ายโมง-บ่าย 3 โมง ไม่ควรนอนหลังเวลาบ่าย 3 โมง เพราะอาจจะส่งผลให้คุณรู้สึกนอนไม่หลับในเวลากลางคืน หรือหนักขึ้นกว่านั้นอาจจะทำให้ถึงขั้นเป็นโรคนอนไม่หลับได้
  • การนอนกลางวันเป็นเวลานาน อาจจะทำให้ระบบร่างกายผิดธรรมชาติ ทำให้วงจรเวลาชีวิตแปรปรวนหรือเปลี่ยนไปได้ เช่น กลางคืนไม่ยอมง่วง ตื่นสาย กินอาหารไม่เป็นเวลา เป็นต้น
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

6 สัญญาณอันตราย เสี่ยง มะเร็งเต้านม ความผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์

 

6 สัญญาณอันตราย เสี่ยง มะเร็งเต้านม ความผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์

  • คลำได้ก้อนบริเวณเต้านมหรือรักแร้
  • หัวนมบุ๋มหรือมีแผล
  • ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น บุ๋มลง หนา แดงร้อน หรือเปลี่ยนสี
  • เต้านมมีขนาดหรือรูปทรงเปลี่ยนแปลง
  • มีเลือดหรือน้ำไหลออกจากหัวนม
  • มีแผลที่หายยากบริเวณเต้านมและหัวนม

แนวทางการตรวจเต้านม

  • ตรวจเต้านมด้วยตนเอง เดือนละ 1ครั้ง เมื่ออายุมากกว่า 20 ปี
  • ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 3 ปี ตั้งแต่อายุ 20 ปี เป็นต้นไป หลังจากอายุ 40 ปี ควรได้รับการตรวจทุก 1 ปี
  • ควรทำแมมโมแกรม และ/หรืออัลตราซาวน์ ในช่วงอายุ 35- 40 ปี 1 ครั้ง หลังจากอายุ 40 ปี เป็นต้นไป ควรทำทุก 1 ปี
  • หากมีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ควรเริ่มทำการตรวจตั้งแต่อายุที่ญาติเป็น ลบออก 5 ปี

 วิธีการตรวจเต้านมด้วยตนเอง

  • ตรวจเป็นประจำทุกเดือน โดยตรวจหลังประจำเดือนมา 7-10 วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือน และตรวจในวันเดือนกันของทุกเดือน
  • ยืนหน้ากระจก เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเต้านมทั้ง 2 ข้าง ทั้งขนาด รูปร่าง หัวนม ลักษณะผิวหนัง
  • ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะทั้ง 2 ข้าง แล้วหมุนตัวช้า ๆ เพื่อดูด้านข้าง
  • ใช้มือเท้าเอวและโน้มตัวลงด้านหน้า
  • ใช้นิ้วมือบีบที่หัวนมเบา ๆ ดูว่ามีน้ำ เลือด หรือหนองไหลออกมาหรือไม่
  • เริ่มคลำเต้านมในท่ายืน โดยใช้มือซ้ายตรวจเต้านมขวา ใช้นิ้ว 3 นิ้ว ได้แก่ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ค่อย ๆ กดลงบนผิวหนังให้ทั่วเต้านมไปจนถึงรักแร้ หลังจากนั้นให้เปลี่ยนคลำอีกข้างแบบเดียวกัน
  • นอนหนุนหมอนใต้ไหล่ข้างที่จะตรวจ แล้วคลำเต้านมด้วยวิธีการเดียวกับท่ายืน

การตรวจเต้านมโดยแพทย์

แมมโมแกรม เป็นการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษคล้ายเอกซเรย์ เริ่มทำที่อายุ 35-40 ปี ในรายที่ไม่มีอาการ และทุกปีเมื่ออายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ใช้ตรวจหาก้อนขนาดเล็ก หินปูน การดึงรั้งของเต้านม

อัลตราซาวด์ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ตรวจได้ในทุกช่วงอายุ สามารถตรวจดูก้อน ถุงน้ำ ท่อน้ำนม และต่อมน้ำเหลือง ซึ่งจะตรวจควบคู่กับแมมโมแกรมในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 40 ปี แต่ไม่สามารถทดแทนการตรวจแมมโมแกรมได้เนื่องจากไม่สามารถดูหินปูนได้

MRI ทำในรายที่มีความเสี่ยงสูง เต้านมหนาแน่นมาก หรือตรวจพบความผิดปกติจากแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์มาก่อน

การเจาะชิ้นเนื้อ เมื่อมีการตรวจพบความผิดปกติของเต้านม แพทย์จะมีการพิจารณาส่งตรวจทางพยาธิวิทยา โดยการใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อผ่านเครื่องมือระบุตำแหน่ง ได้แก่ เครื่องอัลตราซาวด์ หรือแมมโมแกรม เพื่อเจาะได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

เคล็ดลับดูแล ลำไส้ เพื่อสุขภาพ ความงาม

เคล็ดลับดูแล ลำไส้ เพื่อสุขภาพ ความงาม 

นอกจากลำไส้จะเป็นแหล่งที่ย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็เป็นแหล่งสร้างเซลล์คุ้มกันของร่างกาย โดยพบว่าร้อยละ 60 ของเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกสร้างมาจากลำไส้ หากลำไส้ไม่สะอาดของเสียจากอาหารที่คั่งค้างและจากระบบเผาผลาญพลังงานจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้เลือดหนืดข้น และทำให้เกิดการสะสมของไขมันชั้นใต้ผิวและอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย การดูแลลำไส้ให้ดีจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่าย และมีผลในการเสริมให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี ส่งผลให้ผิวพรรณดีและไม่อ้วนง่าย

ข้อปฏิบัติในการดูแลลำไส้ให้มีสุขภาพดีเพื่อสุขภาพกายและความงาม

ดูแลสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ดี

ด้วยว่าร้อยละ 60 ของภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้นถูกสร้างจากลำไส้ หากสภาพแวดล้อมในลำไส้ไม่ดี ก็จะทำให้มีการเจริญของเชื้อก่อโรคและทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ โดยปกติที่ลำไส้ของคนเราจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ประมาณ 2,000-3,000 ชนิด ในปริมาณที่มากกว่า 100 ล้านล้านตัวซึ่งรวมถึงแบคทีเรียชนิดดี แบคทีเรียชนิดไม่ดี และแบคทีเรียที่มาอาศัยอยู่ที่ลำไส้ หากสัดส่วนของแบคทีเรียทั้งสามชนิดอยู่ที่สัดส่วน 2:1:7 จะบ่งบอกว่าลำไส้มีสภาพแวดล้อมที่ดี การดูแลให้ลำไส้ให้มีสัดส่วนของแบคทีเรียชนิดดีเหนือแบคทีเรียชนิดไม่ดีจะส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ทำให้ผิวพรรณดีและช่วยชะลอความแก่ วิธีการดูแลสิ่งแวดล้อมในลำไส้ให้ดีมีดังนี้คือ

ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป

ไขมันจากเนื้อสัตว์แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายและความงาม แต่การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก็จะส่งผลในการเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้

รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดดี

อาหารที่ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดดี ได้แก่

(1) อาหารหมักดองที่มีแลคติกแอซิดแบคทีเรีย เช่น ผักดองรำ ซุปมิโซะ นัตโตะ และผลิตภัณฑ์นมหมัก เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต เป็นต้น

(2) อาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ เห็ด และสาหร่ายทะเล เป็นต้น

(3) อาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลโอลิโกแซคคาไรด์ เช่น ถั่วเหลือง กล้วย และหอมใหญ่ เป็นต้น

หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร อย่างไรก็ดี หากดื่มมากทุกวัน จะส่งผลในการเพิ่มแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้

ใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ

การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ปกติ เช่น กินอาหารแล้วเข้านอน พักผ่อนน้อย ตื่นสายเกือบเที่ยงวันในช่วงวันหยุด เป็นต้น จะทำให้สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติไป ซึ่งส่งผลเสียต่อลำไส้ ดังนั้นควรปรับช่วงจังหวะของชีวิตในแต่ละวันให้เป็นปกติ โดยการตื่นเช้า เข้านอนเร็ว และรับประทานอาหารเช้า

ออกกำลังกายพอประมาณเป็นประจำ

การออกกำลังกายพอประมาณ เช่น การเดิน บริหารร่างกาย และเล่นโยคะ เป็นต้น จะช่วยส่งเสริมการเคลื่อนตัวของลำไส้ ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติและทำให้สิ่งแวดล้อมในลำไส้ดี

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

หากดื่มน้ำน้อยจะมีผลในการทำลายสิ่งแวดล้อมในลำไส้  ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่นหลังจากการตื่นนอนในตอนเช้าวันละ  1 แก้ว จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนตัว ส่งเสริมการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดี

การดูแลสุขภาพแวดล้อมที่ลำไส้เป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจอย่างจริงจังและปฏิบัติให้ติดเป็นนิสัย แม้จะค่อนข้างยุ่งยากและจุกจิกในตอนแรก แต่เมื่อปฏิบัติบ่อยเข้าจะพบว่า สุขภาพเราจะแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส และไม่อ้วนง่าย หากอยากสวยจากภายในก็ลองหันมาดูแลใส่ใจลำไส้กันตั้งแต่วันนี้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/


วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สาเหตุเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ได้แก่

   

สาเหตุเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ อาจเกิดได้หลายสาเหตุ  ได้แก่

  • ถ้าเป็นผู้หญิงอายุน้อย มีเพศสัมพันธ์แล้ว ไม่ได้คุมกำเนิด อาจเกิดจากการตั้งครรภ์แล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่น แท้งบุตร
  • ผู้หญิงบางคนอาจไปกินยาบางอย่างที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง เช่น กวาวเครือ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้
  • ผู้หญิงในวัยที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน เช่น อายุ 13 ปี หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน เช่น อายุ 49 ปี มักมีภาวะฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
  • ผู้หญิงที่อยู่ในภาวะเครียด เช่น ใกล้สอบ นอนดึก ทะเลาะกับแฟน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
  • การติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น ปากมดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูก ก็สามารถทำให้เกิดแผลแล้วมีเลือดออกได้

และสาเหตุสำคัญสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุด คือ มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติในผู้หญิงที่พบได้บ่อยเช่นกัน

  • อาการเลือดออกผิดปกติที่เกิดจากมะเร็ง 
  • ถ้าคุณผู้หญิงมีอาการต่อไปนี้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจเกิดจากมะเร็ง 
  • มีเลือดออกจากช่องคลอดกะปริดกะปรอย เช่น มีเลือดออกทุกวันหรือวันเว้นวัน
  • มีรอบประจำเดือนที่เร็วกว่าทุก 21 วัน เช่น รอบนี้มาวันที่ 1 มกราคม 2551 รอบถัดไป มาวันที่ 19 มกราคม 2551
  • มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน เช่น รอบนี้เริ่มมาวันที่ 1 มกราคม 2551 มาทั้งหมด 4 วัน รอบถัดไปเริ่มมาวันที่ 30 มกราคม 2551 มาทั้งหมด 4 วัน แต่ในวันที่ 15 มกราคม 2551 มีเลือดออก เปื้อนกางเกงใน 
  • มีเลือดออกจากช่องคลอดปริมาณมากเป็นก้อนๆ หรือใช้ผ้าอนามัยมากกว่าวันละ 5 แผ่น
  • มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • มีเลือดออกหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว เช่น คุณป้าวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกจากช่องคลอดอีก

แพทย์จะให้การรักษาอาการเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติอย่างไร 

คุณผู้หญิงที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยทั่วไปแพทย์จะซักถามประวัติผู้ป่วยในช่วงนี้ เช่น ประวัติการกินยา การคุมกำเนิด หลังจากนั้นก็จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดไข้ ความดันโลหิต และขออนุญาตตรวจภายในและตรวจหามะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ยุ่งยากและไม่เจ็บ โดยคุณผู้หญิงจะขึ้นนอนบนเตียงในท่าตั้งเข่า แพทย์จะสอดเครื่องมือเล็กๆ เข้าไปในช่องคลอด เพื่อเก็บน้ำในช่องคลอดไปตรวจหามะเร็งปากมดลูก จากนั้นจะใส่นิ้วมือเข้าไปในช่องคลอดอย่างนิ่มนวล เพื่อคลำหาว่ามีเนื้องอกหรือสิ่งผิดปกติหรือไม่ โดยการตรวจนั้นทำในห้องที่มิดชิด มีแพทย์เป็นผู้ตรวจและนางพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนผู้รับการตรวจ โดยใช้เวลาตรวจไม่เกิน 5 นาที 

แต่ถ้าแพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุของเลือดออกผิดปกติที่แน่ชัดได้ ก็อาจจำเป็นต้องขอส่งตรวจวิธีพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาวน์ด หรือถ้าจำเป็นจริงๆ แพทย์ก็อาจขอขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจวินิจฉัยหาเซลล์มะเร็งต่อไป

วิธีป้องกันอาการเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ

หากสุขภาพแข็งแรง ก็จะส่งผลให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายเป็นเป็นปกติ ดังนั้นคุณผู้หญิงควรหันมาใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน กินให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินยาใดๆ โดยไม่จำเป็น ยิ่งยาที่โฆษณาว่าบำรุงผิวพรรณช่วยให้เลือดฝาดดี อีกทั้งหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส และสุดท้ายผู้หญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือผู้หญิงโสดที่มีอายุเกินกว่า 35 ปี ทุกคน ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในประจำปีและตรวจหามะเร็งปากมดลูก แม้ว่าจะยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม โดยคุณผู้หญิงจะต้องเลือกไปพบแพทย์ในวันที่ไม่มีประจำเดือน งดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 7 วัน และไม่ต้องสวนล้างช่องคลอดก่อนพบแพทย์

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

สาเหตุ การเกิดตะคริวเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่

 

สาเหตุ การเกิดตะคริวเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่

          1. การขาดน้ำ

          2. ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุลโดยเฉพาะ sodium และ potassium

          3. กล้ามเนื้ออ่อนล้าหรือได้รับบาดเจ็บ

          4. กล้ามเนื้อขาดการยืดหยุ่น กล้ามเนื้อที่ตึงจะเกิดตะคริวได้บ่อย

          5. กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงหากต้องทำงานหนักจะเกิดตะคริวได้บ่อย

          6. กล้ามเนื้อขาดเลือด หากท่านออกกำลังกายอย่างหนักโดยที่ไม่ได้ warm up

จะเห็นได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นตะคริว คือ อาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นน้อย กล้ามเนื้อขาดเลือดไปเลี้ยงในขณะที่มีการออกกำลังกายมากๆ มาจากการที่กล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรง หรือมีความแข็งแรงน้อย และจะพบว่าการเป็นตะคริวจะเกิดขึ้นบ่อยที่ “กล้ามเนื้อน่อง”

วิธีบริหารกล้ามเนื้อน่องให้มีความแข็งแรง

Bodyweight Calf Raise

          ยืนตรงกางเท้าออกประมาณความกว้างของหัวไหล่ หันหน้าเข้าหากำแพงและเอามือยันไว้ เขย่งปลายเท้าให้ส้นเท้าค่อยๆ ยกขึ้นจากพื้น สูงขึ้นมากที่สุดจนรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อน่อง หลังจากนั้นค่อยๆ ลดส้นเท้าลงโดยที่ส้นเท้าไม่แตะโดนพื้น ทำจำนวน 12 ครั้ง 3 รอบ

Dumbbell Calf Raise

         ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันด้วยความกว้างประมาณหัวไหล่ นำไม้กระดานหนาประมาณ 2-3 นิ้วมารองไว้ที่ปลายเท้า มือทั้งสองข้างถือดัมเบลไว้

         เริ่มจากออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อน่องเขย่งปลายเท้าเพื่อยกส้นเท้าขึ้นจนสุดและตึงที่กล้ามเนื้อน่อง หลังจากนั้นค่อยๆ ลดส้นเท้าลงจนแตะพื้น เพื่อกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำจำนวน 12 ครั้ง 3 รอบ

         หลังจากฝึกความแข็งแรงไปแล้วอย่าลืมยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องกันด้วยนะครับจะได้ลดความตึงและการเกร็งของกล้ามเนื้อมาลุยกันเลยครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อน่องด้วยการดันกำแพง

         -  ยืนใกล้กำแพงเหยียดแขนทั้งสองข้างดันกำแพงไว้ โดยให้เท้าข้างหนึ่งอยู่ข้างหน้าอีกข้างหนึ่ง เข่าด้านหน้างอเล็กน้อย

         - ยืดขาด้านหลังให้หัวเข่าตรงกับส้นเท้าติดพื้น แล้วเอนตัวไปด้านหน้าเข้าหากำแพงเล็กน้อยให้น่องด้านหลังรู้สึกตึง

         - ทำค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที จากนั้นสลับขา และทำซ้ำทั้งหมด 3 ครั้ง

ท่ายืดกล้ามเนื้อน่องด้วยการยืนบนขั้นบันได

         - ยืนบนขั้นบันได  โดยยืนให้เท้าวางอยู่บนขอบบันได วางส้นเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้นบันได จากนั้นงอข้อเท้าขาอีกข้างโดยทิ้งส้นเท้าลงด้านล่างให้มากที่สุดจนรู้สึกตึงที่น่อง

         - ทำค้างไว้เป็นเวลา 20-30 วินาที แล้วจึงทำซ้ำอีกข้างหนึ่ง ทำสลับกันทั้งหมด 3 ครั้ง

หากอาการยังไม่บรรเทาเบาบางลง ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเพราะอาจเกิดอันตรายได้

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แพทย์แผนไทยแนะนำ เมนูอาหารจาก เครื่องแกง-น้ำพริก ป้องกันโรคหัวใจได้

 

แพทย์แผนไทยแนะนำ เมนูอาหารจาก เครื่องแกง-น้ำพริก ป้องกันโรคหัวใจได้

สมุนไพรที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องแกงและน้ำพริก ของไทย ที่ช่วยควบคุมไขมันและน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ 

  1. กระเทียม
  2. ข่า
  3. ตะไคร้
  4. หอมแดง
  5. กระชาย
  6. พริกไทย
  7. ขิง 

สมุนไพรไทยเหล่านี้ สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายรายการ เช่น 

  • แกงป่า
  • แกงส้ม
  • แกงเลียง 

และน้ำพริกต่างๆ เช่น 

  1. น้ำพริกหนุ่ม
  2. น้ำพริกอ่อง
  3. น้ำพริกปลาทู
  4. น้ำพริกมะขามป้อม 

เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มสมุนไพรไทยที่ช่วยควบคุมไขมันในเลือดได้ คือ 

น้ำหรือชากระเจี๊ยบแดง 

วิธีทำ

นำกลีบดอกกระเจี๊ยบแดงแบบแห้งหรือผงขนาด 2-3 กรัม ชงในน้ำร้อน 120-200 มิลลิลิตร ทิ้งไว้ 3-5 นาที รับประทานวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร 

จากการศึกษาวิจัยพรีคลินิก พบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ลดความดันและไขมันในเลือด โดยเฉพาะไขมันชนิดที่ไม่ดีต่อร่างกาย (LDL) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) 

น้ำตรีผลา

ประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม ในอัตราส่วน 1:1:1 

รูปแบบและวิธีการใช้

ทำได้เช่นเดียวกันกับกระเจี๊ยบแดง 

จากการศึกษาวิจัยทั้งในห้องปฏิบัติการ ในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์ได้ผลออกมาในทิศทางเดียวกันคือ ตรีผลา สามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ไขมันชนิดที่ไม่ดีต่อร่างกาย (LDL) และไขมันโดยรวมได้ แม้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย คือ อาการถ่ายเหลว เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ แต่ไม่มีรายงานความเป็นพิษต่อตับและไต

นายแพทย์ขวัญชัย กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากสมุนไพรในเครื่องแกง รายการอาหาร และน้ำสมุนไพรที่แนะนำแล้ว ยังต้องรู้จักปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดควบคู่กันไปด้วย โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดการสูบบุหรี่ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยหรือการใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรค ให้ปรึกษาแพทย์แผนไทยในสถานบริการสุขภาพของรัฐได้ทั่วประเทศ หรือติดต่อโดยตรงที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หมายเลขโทรศัพท์ 0 2149 5678 หรือช่องทางออนไลน์ที่เฟซบุ๊ก กรมการแพทย์แผนไทยฯ และ ไลน์แอดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก line@DTAM

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

ฤดูฝน ต้องระวังโรคตาแดงระบาด หมั่นล้างมือบ่อยๆ

ฤดูฝน ต้องระวังโรคตาแดงระบาด หมั่นล้างมือบ่อยๆ

คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคตาแดงเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากโรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝน และสามารถติดต่อกันได้ง่าย ระยะการติดต่อไปยังผู้อื่นคือ ประมาณ 14 วัน โดยการสัมผัสกับน้ำตา หรือจากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า โทรศัพท์มือถือที่เปื้อนเชื้อจากมือของผู้ป่วยแล้วขยี้ตา หลังผ่านไป 24-72 ชั่วโมง ผู้สัมผัสจะเริ่มมีการอักเสบของเยื่อบุตา โดยมีอาการตาแดง ระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล แสบตาเวลาถูกแสง มีขี้ตามากกว่าปกติ อาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาวและมักเป็นสองข้าง อาการเลือดออกจะทุเลาภายใน 7-12 วัน โรคนี้สามารถหายเองได้ หากไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ แต่อาจมีอาการแทรกซ้อนทางระบบประสาทตามมาได้

ไม่ล้างมือ เสี่ยงตาแดง

แพทย์หญิงศิริลักษณ์ กล่าวเพิ่ม ขอแนะนำวิธีการป้องกันสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคตาแดง ได้แก่

  • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ไม่คลุกคลีใกล้ชิดหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
  • ถ้ามีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
  • อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา

หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ให้สะอาดอยู่เสมอ

ส่วนผู้ป่วยโรคตาแดงไม่ควรขยี้ตา ระมัดระวังอย่าให้แมลงวันหรือแมลงหวี่ตอมตา การเช็ดขี้ตาให้ใช้กระดาษทิชชูเช็ด ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ และควรหยุดเรียน หรือหยุดงานรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ประมาณ 1-2 สัปดาห์จนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันไม่ให้โรคตาแดงลุกลาม หรือติดต่อสู่คนอื่น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ทำงานหน้าคอมอย่างไร ไม่ให้เสียสายตาด้วย 4 วิธีนี้

ทำงานหน้าคอมอย่างไร ไม่ให้เสียสายตาด้วย 4 วิธีนี้

พักสายตาด้วยสูตร 20

อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อเราจ้องจอนานๆ จะทำให้สายตาของเราเกิดอาการเมื่อยล้า ตาแห้ง เพราะเราจะกะพริบตาน้อยมาก เมื่อจ้องดูสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เราเกิดอาการแสบตา ปวดตา น้ำตาไหลได้ ดังนั้นเราควรที่จะหมั่นพักสายตาระหว่างใช้หน้าจอ ด้วยหลัก 20 – 20 – 20 คือ การละสายตาและมองไกลออกไประยะ 20 ฟุต ในทุกๆ 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาที ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของสายตาเราได้ หรือเมื่อต้องทำงานนานๆ อาจจะลุกขึ้นไปทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

ปรับระยะสายตาด้วยสูตร 25

ในเมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือเรียนออนไลน์หน้าจออยู่ตลอด การปรับระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าให้เหมาะสมจะช่วยเซฟดวงตาเราได้ โดยขั้นต่ำอย่างน้อยต้องอยู่ห่างจากสายตาของเราประมาณ 25 นิ้ว และอาจจะติดฟิล์มที่ช่วงกรองแสงสีฟ้าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และมือถือ แท็บเล็ต เพื่อช่วยลดแสงที่จะมากระทบดวงตาของเราด้วย

จัดการสภาพแวดล้อม

เมื่อเราต้องทำงานหรือเรียนออนไลน์อยู่ในห้องเป็นระยะเวลานาน การจัดการกับสภาพแวดล้อมจะช่วยลดผลกระทบต่อแสงจากหน้าจอต่อสายตาของเราได้ โดยเราต้องไม่ลืมที่จะปรับแสงสว่างภายในห้องไม่ให้มืดเกินไป และแสงหน้าจอก็ไม่ควรปรับให้สว่างจ้ามากเกินไป รวมถึงบรรยากาศรอบข้าง ไม่ควรนั่งบริเวณที่มีลมจากพัดลมหรือแอร์พัดโดนบริเวณดวงตาเพราะอาจทำให้ตาแห้งได้ หากเกิดอาการตาแห้งสามารถใช้น้ำตาเทียมที่มีคุณภาพเข้ามาช่วยลดอาการระคายเคืองดวงตาได้

หมั่นเติมโภชนาการ

การดูแลสุขภาพจากภายนอกด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ พอๆ กับการดูแลจากภายในด้วยหลักโภชนาการในการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะสารอาหารเพื่อการดูแลสุขภาพดวงตา ที่มาจากพืช ผัก ผลไม้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ ซี อี เบต้าแคโรทีน ดีเอชเอ แอนโธไซยานิน ลูทีน ซีแซนทีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปกป้องสายตา และยังช่วยในการชะลอความเสื่อมดวงตาได้ด้วย 

ที่สำคัญแม้จะมีโภชนาการที่ดีเพียงใด ก็ควรที่จะไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอด้วย

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วิธีง่ายๆสำหรับการลดความอ้วนด้วย 5 วิธีนี้

วิธีง่ายๆสำหรับการลดความอ้วนด้วย 5 วิธีนี้ 

1.ควบคุมสัดส่วนการกินอาหาร

เริ่มแรกในการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องง้อการใช้ยาลดน้ำหนักก็คือ การควบคุมสัดส่วนการกินอาหารนั่นเอง ซึ่งวิธีควบคุมการกินอาหารนั้น สามารถเลือกได้ตามความสามารถของร่างกายได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นการกินมังสวิรัติ การกินคีโต หรือการควบคุมปริมาณแคลอรี เป็นต้น ซึ่งการควบคุมสัดส่วนการกินอาหารถือเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะหลักการเดิมของการลดความอ้วนก็คือ การรับพลังงานให้น้อยกว่าปริมาณพลังงานที่ใช้ไป ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถดึงเอาไขมันสะสมมาใช้นั่นเอง ดังนั้นข้อนี้สาวๆ ต้องทำการบ้านให้ดีว่าจะเลือกควบคุมสัดส่วนการกินด้วยรูปแบบไหน

2.ดื่มน้ำให้มากๆ

เชื่อว่าสาวๆ จะเคยได้ยินกับประโยค “ดื่มน้ำรองท้อง” กันมาบ้างแล้ว ซึ่งการดื่มน้ำรองท้องก่อนกินอาหารประมาณ 30 นาที มีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกหิวน้อยลง แถมยังทำให้กินอาหารได้น้อยลงอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีผลงานการวิจัยค้นพบว่า น้ำมีส่วนช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น โดยในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่บางรายงานก็มีการแนะนำให้ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตรจะยิ่งดีต่อสุขภาพร่างกายมากยิ่งขึ้น

3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

หลายคนมักจะมองข้ามในเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จึงมักมีพฤติกรรมการนอนดึกและนอนไม่ครบจำนวนชั่วโมงที่ส่งผลดีต่อร่างกาย นั่นจึงส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกายโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้การลดน้ำหนักให้ได้ผลโดยไม่ต้องง้อการใช้ยาลดน้ำหนัก ยังสามารถทำได้ด้วยการนอนให้เพียงพอ เนื่องจากการนอนที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ฮอร์โมนต่างๆ เกิดการหลั่งอย่างเป็นปกติ ส่งผลให้อารมณ์ไม่แปรปรวน ในขณะเดียวกันหากนอนไม่พอจะทำให้เกิดอาการหงุดหงิดได้ง่าย ที่สำคัญเมื่อฮอร์โมนหลั่งผิดปกติ จะทำให้รู้สึกหิวตลอดเวลาอีกด้วย

4.ออกกำลังกายด้วยคาร์ดิโอ 30 นาทีต่อวัน

วิธีการลดน้ำหนักอีกวิธีที่สาวๆ สามารถทำได้ก็คือ การออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที โดยสาวๆ สามารถแบ่งระยะเวลาการออกกำลังกายในแต่ละวันให้เหมาะสมกับตารางการใช้ชีวิตและการทำงานได้เอง และการออกกำลังกายที่แนะนำมากๆ ก็คือการคาร์ดิโอ 30 นาทีต่อวัน เพราะวิธีนี้ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้ดี

5.หมั่นดูแลสุขภาพใจ

นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็มีผลต่อการลดน้ำหนักด้วยเช่นกัน เพราะความเครียดถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเผชิญกับความอ้วนได้ นั่นเพราะเมื่อเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลขึ้นมา ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้รู้สึกหิวบ่อยนั่นเอง

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/





วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ทานแก้วมังกรแล้วมีประโยชน์อย่างไร

ทานแก้วมังกรแล้วมีประโยชน์อย่างไร

ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย ความแก่ชรา และช่วยลดริ้วรอยต่างได้ ๆ

ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส ชุ่มชื่น

ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ

มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

ช่วยบรรเทาอาการของโรคความดันโลหิต

มีส่วนช่วยบรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง

มีส่วนในการช่วยรักษาโรคเบาหวาน

มีส่วนช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง

เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อน ดับกระหายได้เป็นอย่างดี

ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง

แก้วมังกรลดน้ำหนักและช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ช่วยเรื่องการลดความอ้วนเนื่องจากมีแคลอรีต่ำ

ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี

มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบกำจัดของเสียในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น

ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่วที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง

ช่วยบำรุงกระดูกและฟันของคุณให้แข็งแรง

มีกากใยสูง ช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก

ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่างๆ ให้ดีขึ้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรมไม่ควรใน สื่อออนไลน์

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรมไม่ควรใน สื่อออนไลน์

  • การเลียนแบบจากเพื่อนหรืออินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ในสื่อออนไลน์
  • เด็กมองว่าการใช้คำหยาบคายระหว่างเพื่อนไม่ได้เป็นเรื่องผิด
  • เด็กรู้สึกเป็นที่ยอมรับเมื่อสบถหรือใช้คำหยาบเหมือนกัน

คำแนะนำ

พ่อแม่ควรเข้าใจว่าการใช้คำหยาบคายเป็นพฤติกรรมตามวัยที่เด็กอาจเลียนแบบจากเพื่อนหรืออินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ในสื่อออนไลน์

หาโอกาสพูดคุยกับเด็กถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้คำหยาบคาย และชี้แนะให้เด็กเข้าใจว่าเขาสามารถเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นได้แม้ไม่ใช้คำหยาบคาย

  • สมาชิกในครอบครัวควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้คำพูดที่เหมาะสมในบริบทต่างๆ
  • พ่อแม่ควรชื่นชมเมื่อลูกใช้คำพูดเหมาะสมโดยไม่ใช้คำหยาบคายเมื่อใช้สื่อออนไลน์
  • ลดการใช้สื่อออนไลน์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับวัย โดยเฉพาะที่มีความรุนแรงและใช้คำหยาบ

แนะนำสื่อออนไลน์ที่มีอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ที่ใช้คำพูดเหมาะสม

หลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อความหยาบคายเมื่อเด็กโกรธหรือไม่พอใจ และอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าข้อความเหล่านั้นมักจะคงอยู่ในโลกออนไลน์จนอาจส่งผลเสียต่อเด็กได้ในอนาคต

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เด็กเส้นควรทราบ!!! 4 วิธี การทานมาม่า ไม่ให้ทำร้ายสุขภาพ

เด็กเส้นควรทราบ!!! 4 วิธี การทานมาม่า ไม่ให้ทำร้ายสุขภาพ

ไม่รับประทานติดต่อกันมากเกินไป ไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 2 มื้อ หรือกินติดกันหลายๆ วัน ควรเว้นระยะในการกิน สลับไปกินอาหารประเภทอื่นบ้าง

  1. ไม่กินบีหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบมาก หรือบ่อยเกินไป
  2. ไม่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร่วมกับอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง
  3. ควรใส่วัตถุดิบที่ให้สารอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมลงไปด้วย เพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารให้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ไข่ ผัก เห็ด เนื้อสัตว์ต่างๆ ฯลฯ
  4. ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปรุงจนหมดซอง และไม่จำเป็นต้องซดน้ำซุปจดหมด

"มาม่า" กินดิบ-ต้มสุก อันตรายต่างกันอย่างไรบ้าง

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมื่อกินดิบ จะให้พลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี่ โดยมีส่วนประกอบคร่าวๆ คือ ไขมัน 11 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัวราว 25% ของที่ไม่ควรได้เกินในแต่ละวัน และยังมีโซเดียมราว 60-70% ของที่ร่างกายต้องการ แม้ว่าจะเป็นอาหารที่ให้พลังงาน แต่ก็เป็นพลังงานที่ไม่ได้มีคุณภาพต่อร่างกายมากนัก เพราะเป็นพลังงานที่ได้จากแป้งและไขมันทั้งสิ้น และที่สำคัญ เมื่อกินแป้งที่ผสมเครื่องปรุงรสจัดแบบดิบๆ ไม่มีเนื้อผสมเจือจางเหมือนการต้มกับน้ำร้อน จะยิ่งทำให้เราคอแห้ง ถ้าหากกินคู่ไปกับการดื่มน้ำอัดลม จะยิ่งทำลายสุขภาพมากขึ้น เพราะในมื้อนั้นจะมีแต่แป้ง น้ำตาล และไขมัน และยังอาจเสี่ยงท้องอืดมากกว่าปกติอีกด้วย

สำหรับพลังงานอาหารที่ได้จากการกินดิบ และต้มเส้นให้สุก อาจจะปริมาณใกล้เคียงกันหากหมายถึงกินน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง แต่ในทางกลับกันหากเราไม่ได้ซดน้ำซุบจนขอดก้นถ้วย ก็จะช่วยให้เราได้รับโซเดียมน้อยลงกว่าการกินดิบ ดังนั้นจริงๆ แล้วการกินแบบต้มเส้นให้สุกจึงอาจจะดีต่อร่างกายมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็แต่เล็กน้อยเท่านั้น

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

4 วิธี ควรทราบสำหรับ ผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม

 

4 วิธี ควรทราบสำหรับ ผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม 

  1. ต้องควบคุมน้ำหนักของตนให้ดี เพราะน้ำหนักร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ภาวะอาการของโรคมีมากขึ้น 
  2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเสี่ยงต่อความทรุดของข้อมาก ๆ เช่น ท่าทางที่ต้องใช้การพับเข่ามาก ๆ การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยอง หรือกระโดดหลายครั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้อเสื่อมได้มากขึ้น 
  3. ต้องบริหารกล้ามเนื้อให้ดี เช่น สำหรับข้อสะโพก ควรบริหารกล้ามเนื้อต้นขา สำหรับข้อเข่า ควรบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า 
  4. ประคบข้อที่อักเสบด้วยความร้อน ครั้งละประมาณสิบนาที จะช่วยผ่อนคลายอาการระบมอักเสบได้ และช่วยลดความเจ็บปวดลง

วิธีเหล่านี้สามารถช่วยประคองให้ข้อที่เสื่อม ยังพอจะสามารถใช้การต่อไปในชีวิตประจำวันได้เรื่อยๆ  

วิธีสังเกตอาการของตนเองว่าถึงเวลาที่ควรเข้ามาพบแพทย์แล้วหรือยัง

หากความเจ็บปวดนั้นรบกวนชีวิตประจำวันเรามากขึ้น เช่น วันนี้เดินได้สิบก้าวมีอาการปวด และวันต่อไปมีอาการปวดเมื่อเดินได้ห้าก้าว เราช่วยเหลือตนเองในแต่ละวันลำบากมากขึ้น ต้องพึ่งคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ อาการเจ็บปวดนั้นไม่สามารถคลายปวดได้เอง หรือในระยะเวลาหนึ่งถึงสองอาทิตย์อาการไม่ดีขึ้นเลย 

หากมีอาการเหล่านี้ผู้ป่วยควรเข้ามาพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยว่ามีภาวะอื่นหรือภาวะใดๆ ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น สามารถเข้ารับการผ่าตัดในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้หรือไม่ 

ในกรณีที่ ผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมที่เป็นระยะรุนแรงจนต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด สามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ให้การรักษาที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันทุกคน การแบ่งแยกพื้นที่ของโรงพยาบาลอย่างชัดเจนสำหรับการให้บริการผู้ป่วยในแต่ละประเภท และการคัดกรองที่เข้มงวด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดต่อของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พฤติกรรมที่สามารถหลีกเลี่ยง มะเร็ง

พฤติกรรมที่สามารถหลีกเลี่ยง  มะเร็ง

เครียด เพราะต้องปรับตัวกับการทำงานรูปแบบใหม่ ต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งยังไม่สามารถแบ่งเวลาพักผ่อนออกจากการทำงาน หรือการเรียนได้อย่างสมดุล ผนวกกับต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ และหลายรายประสบปัญหาตกงาน

พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือ นอนไม่หลับ เป็นระยะเวลานาน ผลพ่วงจากความเครียดสะสมจากการปรับตัวรับนิวนอร์มอล 

รับประทานทานอาหารไม่มีประโยชน์ จำพวกอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป  ขนมขบเคี้ยว และพฤติกรรมทานซ้ำ ทานด่วนบ่อย ส่วนมากมักเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ปรุงโดยการทอดหรือผัด ที่มักมีไขมันสูงทำให้อ้วนลงพุง ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

ไม่ออกกำลังกาย หรือ ขยับร่างกายน้อยในแต่ละวัน เนื่องจากไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้ มักหมดเวลาไปกับการทำงาน ขยับตัวน้อย หรือแทบไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวออกนอกบ้าน 

อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบันมีโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย แต่โรคมะเร็งยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ของโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากสุดในแต่ละปี และคาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง 70% มาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ 

ข้อมูลกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบ 5 อันดับโรคมะเร็งที่เป็นปัญหาสำหรับคนไทยจากพฤติกรรม ในผู้ป่วยเพศชาย คือ

  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มะเร็งที่ทวารหนัก
  • มะเร็งช่องปาก 

ขณะเดียวกัน ในผู้ป่วยเพศหญิง คือ

  • มะเร็งเต้านม
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มะเร็งปากมดลูก
  • มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์
  • มะเร็งตับ

ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงมะเร็งลุกลามโดยไม่รู้ตัว หรือหากรู้ก่อนก็จะสามารถควบคุมและรักษาให้หายได้ แนะ 3 ข้อ เลี่ยง ลด เสริม เพื่อลดภาวะความเสี่ยงจากมะเร็ง พฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกาย แต่เป็นที่รักของมะเร็ง ให้สอดคล้องกับนิวนอร์มอล

  • เลี่ยง… ขณะที่หลายบริษัทมีมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้าน ส่งผลให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ร่วมกับส่วนรวม หรือครอบครัว

  • หลีกเลี่ยงการสูดดมควันพิษที่มีสารก่อเกิดมะเร็ง อาทิ ควันจากบุหรี่ หรือควันจากธูป ภายในบ้าน หรือบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากในยุคที่หลายคนต้องกักตัวอยู่บ้าน กิจกรรมต่าง ๆ อาจอยู่ในพื้นที่จำกัด เช่นการสูบบุหรี่ในบ้าน หรือระเบียงคอนโด เป็นต้น 
  • เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 และเศรษฐกิจที่คาดเดาไม่ได้ อาจส่งผลให้หลายคนหันหน้าไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายเครียดเพิ่มขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการขับถ่ายไม่เป็นเวลา หรือท้องผูกบ่อย ๆ จากการทานอาหารที่ไม่สดใหม่ หรืออาหารค้างคืน เกิดจากการทำงานเพลิน ขยับตัวน้อย ทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  • ลด... บริโภคอาหารร้ายที่มะเร็งรัก โดยเฉพาะในช่วงกักตัว ที่หลายบ้านต้องเลือกสั่งอาหารจากแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารปรุงซ้ำ

  • ลดอาหารที่มีส่วนผสมสารไนโตรชามีนในเนื้อสัตว์แปรรูป อาทิ ไส้กรอก แฮม เบคอน กุนเชียง เป็นต้น จากเมนูอาหารที่มาพร้อมโปรโมชั่นผ่านการขายเดลิเวอรี่ กระตุ้นความต้องการผู้บริโภค
  • ลดอาหารที่มีส่วนผสมสารไฮคาร์บอนจากอาหารที่ไหม้เกรียม และน้ำมันที่ทอดซ้ำกันหลายรอบ 
  • ลดอาหารที่มีส่วนผสมสารอัลฟาทอกชิน ในอาหารแห้งที่อับชื้น เช่น ถั่วป่น พริกป่น หรือกุ้งแห้ง
  • ลดอาหารที่มีสารเคมีจากอาหารหมักดอง เช่น ผัก และผลไม้ดอง แหนม ปลาร้า
  • ลดทานอาหารที่ไม่สุก เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมพยาธิก่อให้เกิดมะเร็ง อาทิ ลาบเลือด ปลาน้ำจืดดิบ หรือผักสดที่ล้างไม่สะอาด
  • เสริม... ป้องกัน ห่างไกล สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายในยุคนิวนอร์มอลจึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเพิ่มขึ้น

รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อย 5 สี ต่อวัน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจากวิตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีหลายชนิด

  • เสริมการทานข้าวแป้งและธัญพืชที่ไม่ขัดสี เนื่องจากมีกากใยช่วยในการขับถ่าย สารอนุมูลอิสระ และสารพฤกษเคมีหลายชนิด
  • เสริมการปรุงแต่งรสชาติอาหารด้วยใช้เครื่องเทศ แทนการใช้ผงปรุงรสในปริมาณที่มากเกิน
  • เสริมการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • เสริมการผ่อนคลายร่างกายและสมองจากงาน เพื่อลดภาวะความเครียดที่พบเจอแต่ละวัน ด้วยกิจกรรมที่ชื่นชอบ อาทิ ดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม เป็นต้น
  • เสริมการนอนพักผ่อนเป็นเวลา เพียงพอ และเหมาะกับร่างกายแต่ละช่วงวัย

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

หากสามารถนำแนวทาง เลี่ยง ลด เสริม ไปปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันได้ จนส่งเสริมให้เกิดพื้นฐานการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ถูกตามหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและการสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาจิตใจ ไม่เครียด ถือเป็นยาวิเศษที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่ารูปแบบการใช้ชีวิตของสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

โรดเครียด และ วิธีแก้

โรดเครียด และ วิธีแก้

อารมณ์

  • อ่อนไหวง่าย
  • วิตกกังวล
  • หงุดหงิด
  • เบื่อ เหงา เศร้า
  • ร่างกาย
  • หายใจเร็ว
  • นอนไม่หลับ
  • อ่อนเพลีย
  • เจ็บป่วยง่าย

สังคม

  • ไม่อยากพบใคร
  • เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบ
  • มีปัญหากับคนรอบข้าง 

สติปัญญา

  • สมาธิและความจำแย่ลง
  • การตัดสินใจแย่ลง
  • ใช้สารเสพติด

หากมีภาวะเครียด ควรทำอย่างไร

หากท่านมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ ควรดูแลสุขภาพจิตใจให้มากขึ้น เช่น 

  1. ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย งานประดิษฐ์ วาดรูป เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เป็นต้น
  2. ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ ไม่คิดเรื่องอื่นก่อนนอนสัก 10-15 นาที
  3. คุยหรือเจอหน้าคนในครอบครัวให้บ่อยขึ้น
  4. นัดเจอเพื่อนฝูงเพื่อพบปะพูดคุยกันบ้างบางครั้งบางคราว หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย สามารถโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลคุยกันได้
  5. หากมีเรื่องเครียด และหาทางออกไม่ได้ ลองปรึกษาคนใกล้ชิด หรือพบจิตแพทย์อย่างจริงจัง
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/




ช่วง น้ำท่วม 6 ขั้นตอนทำน้ำสะอาดไว้ใช้ในบ้าน

ช่วง น้ำท่วม 6 ขั้นตอนทำน้ำสะอาดไว้ใช้ในบ้าน

ขั้นตอนที่ 1 ตักน้ำในบริเวณที่น้ำไม่เน่าเสียหรือมีกลิ่นเหม็นหรือบริเวณที่น้ำไหลไกลจากห้องน้ำห้องส้วม มาใส่ถังที่มีลักษณะทรงกระบอก เช่น ถังพลาสติก 50-100 ลิตร 

ขั้นตอนที่ 2 ตักเอาเศษสิ่งของที่ปนมากับน้ำออกให้หมด เช่น ใบไม้ เศษไม้ เศษวัชพืช 

ขั้นตอนที่ 3 ใช้มือจับก้อนสารส้มจุ่มลงไปในน้ำลึกประมาณ 2 ใน 3 ของความลึกน้ำในถัง

ขั้นตอนที่ 4 ใช้มือที่จับสารส้มกวนน้ำเป็นแนววงกลมให้ สารส้มละลาย โดยช่วงแรกให้กวนเร็วจนสังเกตเห็นตะกอนที่เกิดขึ้นมีปริมาณมากแล้วจึงค่อยลดความเร็วในการกวนลง จนตะกอนมีขนาดใหญ่ให้หยุดกวนตั้งทิ้งไว้ประมาณครึ่งชัวโมงจนตะกอนตกสู่ก้นถัง 

ขั้นตอนที่ 5 ค่อยๆ ตักน้ำใสส่วนบน หรือใช้วิธีกาลักน้ำ ถ่ายเทน้ำใสส่วนบนใส่ภาชนะที่สะอาด และวัดปริมาตรน้ำที่ได้

ขั้นตอนที่ 6 หยดคลอรีนน้ำ 2 เปอร์เซ็นต์ หรือหยดทิพย์ที่กรมอนามัยจัดทำขึ้น ในปริมาณ 1 หยด ต่อน้ำ 1 ลิตร ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที โดยให้คลอรีนละลายในน้ำและฆ่าเชื้อโรคอย่างทั่วถึงก่อนนำน้ำมาใช้ 

ทั้งนี้ สำหรับน้ำที่ได้ยังไม่เหมาะนำมาบริโภค เนื่องจากอาจจะมีสารเคมีบางชนิดปนเปื้อนมากับน้ำท่วมได้ จึงเหมาะสำหรับนำใช้ภายในครัวเรือนเท่านั้น เช่น ซักเสื้อผ้า ล้างสิ่งของเครื่องใช้ หรือใช้อาบน้ำ เป็นต้น ส่วนน้ำบริโภคควรใช้น้ำดื่มบรรจุขวดแทนจะปลอดภัยที่สุด

ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/

8 อาหารเจ กินเจอย่างไรได้สุขภาพดี ได้สารอาหารครบ

 

8 อาหารเจ กินเจอย่างไรได้สุขภาพดี ได้สารอาหารครบ

  1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  2. เลือกรับประทานโปรตีนดี เช่น เต้าหู้ เห็ด ถั่ว ควินัว
  3. หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด เน้น นึ่ง ต้ม ตุ๋น
  4. ลดอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ เพราะมีโซเดียมสูง
  5. เลือกรับประทานผักและผลไม้สดให้ได้มากที่สุด ลดการรับประทานผักผลไม้ดอง
  6. ควรพยายามทำอาหารรับประทานเองให้ได้มากที่สุด หรือเลือกซื้อจากร้านที่สะอาด ไม่ปรุงรสหวาน มัน เค็ม เผ็ด มากเกินไป
  7. รับประทานอาหารที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ให้ได้มากที่สุด เพราะส่วนใหญ่ทำจากแป้ง อาจทำให้ร่างกายได้รับแป้งมากเกินความต้องการ
  8. เลือกแป้ง หรือข้าวที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต
ติดตามสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเคิมได้ที่>>> https://saruknaruu.blogspot.com/